BOYFRIEND FICTIONS :: บอยเฟรนด์ฟิคชั่น
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
BOYFRIEND FICTIONS :: บอยเฟรนด์ฟิคชั่น

แหล่งรวบรวมฟิคต่างๆของวงบอยเฟรนด์

ค้นหา
 
 

Display results as :
 


Rechercher Advanced Search

Keywords

Latest topics
» [OS][PG] Forever with you
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptyMon Jul 13, 2015 7:35 am by MyYoungKwang

» [OS] Love Balloon~ [HSxJM]
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptySat Jun 20, 2015 2:13 am by yokyookyik

» [SF][PG-13] ฮัก(?) [HyunseongXJeongmin]
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptySat Jun 20, 2015 1:28 am by yokyookyik

» [SF][PG+13] Make me sure [HyunseongXJeongmin]
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptySat Jun 20, 2015 12:55 am by yokyookyik

» [SF]Marine's Memory[HSxJM]
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptySat Jun 20, 2015 12:47 am by yokyookyik

» [SF][HSxJM] Flower Love ♥
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptyFri Jun 19, 2015 10:29 pm by yokyookyik

» [SF] Once Upon A Time
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptyFri Jun 19, 2015 8:43 pm by yokyookyik

» [SF] Yuletide
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptyFri Jun 19, 2015 7:49 pm by yokyookyik

» [SF][PG] : Our promise
[SF]Marine's Memory[HSxJM] EmptyFri Jun 19, 2015 6:13 pm by yokyookyik

April 2024
MonTueWedThuFriSatSun
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930     

Calendar Calendar

Affiliates
free forum

1
[SF]Marine's Memory[HSxJM] 2KZq5y

You are not connected. Please login or register

[SF]Marine's Memory[HSxJM]

+4
KitaBF.
josungmi
ipowerr
modsant
8 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty [SF]Marine's Memory[HSxJM] Wed Jun 05, 2013 2:42 pm

modsant


Members
Members



Marine’s Memory
Hyunseong - Jeongmin
Writer : Miina


สายลมของฤดูร้อนพัดหอบเอาความเย็นเข้าปะทะร่างเล็กที่สวมเพียงเสื้อกล้ามตัวบางกับกางเกงชายหาดเปียกชุ่ม รองเท้าคีบแตะ ส่งผลให้เจ้าของร่างต้องกระชับผ้าขนหนูให้แนบแน่นขึ้นอีกเพื่อลดความหนาว เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังอยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่า ที่นี่คือทะเล
ร่างเล็กก้มหน้างุดเพื่อบดบังความอายที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆภายในจิตใจ แม้ว่าการแต่งตัวแบบนี้ในบริเวณชายหาดถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยผิวที่ขาวผ่อง และใบหน้าที่จัดได้ว่าดีมาก ก็ทำให้เขาตกเป็นจุดเด่นและจุดสนใจได้ไม่ยาก
หลังจากใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการหลบสายตาของผู้คนรอบๆที่ดูจะจ้องเขามากเป็นพิเศษ ร่างเล็กจึงตัดสินใจเอาผ้าขนหนูที่ใช้ห่มร่างกายขึ้นมาคลุมหน้าแทน

เมื่ออาทิตย์ก่อน
ขณะที่ผมกำลังนั่งสลดหมดอารมณ์อยู่ในมุมมืดของห้องเรียนตัวเองเพราะเพิ่งจะเสียแฟนที่คบกันมากว่าสามเดือน สาเหตุง่ายๆคือ นายมันจืดชืด! เขาพูดแบบนั้นก่อนที่จะจากไปพร้อมหญิงสาวอีกคนที่เปรี้ยวจนเข็ดฟัน จู่ๆน้องรหัสของผม ‘โน มินวู’ ก็พุ่งพรวดเข้ามาและทันได้เห็นน้ำตาที่รินไหลลงสองข้างแก้ม ผมที่กำลังอ่อนแอจนไม่สมกับเป็นพี่ ก็ได้มินวูน้องชายจอมยุ่งปลอบใจในเวลานั้น
แถมด้วยซักผมจนต้องเผยถึงสาเหตุที่มานั่งร่ำไห้อย่างกับพึ่งเสียแม่ปลาบู่ไป....
ยังไม่หมด ด้วยความน่ารักของน้องรหัส เขาจึงมอบถ้อยคำเป็นกำลังใจให้ผมที่แสนจะกินใจจนลืมไม่ลง
‘ก็น่าอยู่หรอก ดูพี่แต่งตัวเข้าสิ แล้วนี่อีก แว่นอะไรจะหนาได้ขนาดนี้ ก็รู้นะว่าสายตาสั้นแต่อย่างน้อยก็น่าจะพยายามทำตัวให้ทันสมัยหน่อย รู้จักไหมคอนแทคเลนส์น่ะ นี่พี่ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าคนที่เข้ามาจีบพี่แทบทุกคนเขาก็หวังจะให้พี่ช่วยเก็งข้อสอบให้เท่านั้นแหละ สังเกตบ้างสิว่าจะมีคนมาห้อมล้อมพี่ทุกครั้งที่ใกล้สอบน่ะ พี่มันอ่อนต่อโลกเกินไป’
ซึ้งจนจุก....
‘เฮ้อ~ เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวผมจะช่วยพี่เอง ถือว่าตอบแทนที่พี่ช่วยติวข้อสอบให้ผมอยู่บ่อยๆแล้วกัน’
เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนพอดี หลังจากนั้นไม่กี่วันมินวูก็มาหาผมที่บ้าน สั่งผมให้จัดกระเป๋าก่อนจะลากผมออกมาท่ามกลางความงุนงงของพ่อและแม่
เขาบอกกับผมแค่ว่า
‘ทริปเสริมความมั่นใจไงครับ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมไม่พาพี่ไปตายหรอกน่า~’
‘ -[]-* ’
ในที่สุดผมก็(โดนบังคับให้)ขึ้นรถมาอย่างมึนๆ
เรามาด้วยกันสามคนแน่นอนว่ามี ผมและมินวู ส่วนอีกคนหนึ่งคือ ดงฮยอน...แฟนต่างโรงเรียนต่างวัยของมินวู เขาอายุมากกว่าผม ผิวขาวจัด สูง(กว่าผมและมินวูมาก) หุ่นนายแบบ และท่าทางดูดี นายไปสอยมาจากไหนเนี่ยมินวู.... - -* พี่ดงฮยอนรับหน้าที่ในการขับรถ แน่นอนอีกเช่นกันว่ารถคันนั้นเป็นของเขา
มันจะดีเกินไปแล้ว!!
ทันทีที่รถจอดเทียบกับโรงแรมใกล้ๆชายหาดแห่งหนึ่ง มินวูก็ทำเหมือนผมเป็นตุ๊กตาตัวน้อยที่เขาคิดจะลากไปไหนมาไหนก็ได้ตามสะดวก ...ซึ่งผมก็ทำตัวเป็นตุ๊กตาโง่ๆให้เขาลากตามสบาย
มินวูสั่งให้ผมเปลี่ยนมาใส่ชุดที่เขาซื้อมาให้....แล้วจะสั่งให้จัดกระเป๋าทำด๋อยอะไร -*-
มันเป็นชุดที่ผมเห็นแล้วต้องลอบกลืนน้ำลาย ส่วนประกอบมีเพียงสองชิ้น เสื้อกล้ามสีขาวบางๆ กับกางเกงขาสั้นสีดำแบบที่มีไว้เพื่อเดินเล่นตามชายหาด ยังดีที่ไม่เอากางเกงว่ายน้ำมาให้ ขอบคุณ
ผมจำใจใส่ชุดนั้นเพราะสายตาที่กดดันอยู่ตลอดเวลาของเขา น้องบ้าอะไรทำกับพี่ขนาดนี้ โลกไม่ยุติธรรม...T^T/
จากนั้นมินวูก็ทำในสิ่งที่ช็อคโลกกว่าเดิม โดยการโยนแว่นที่ผมใส่มาตลอดชีวิตทิ้งลงหน้าต่างไปอย่างไม่ใยดี....โหดร้ายยยย!!! ผมแทบทรุดลงกับพื้น ส่วนหนึ่งเพราะตกใจ อีกส่วนหนึ่งเสียดาย ส่วนสุดท้ายคือมองไม่เห็น ทำไงได้สายตาสั้นแต่กำเนิดนี่นา
มินวูจับผมใส่คอนแทคเลนส์ที่สร้างความรวดร้าวให้ดวงตาของผมเป็นอันมาก น้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าตอนถูกแฟนทิ้งอีก พี่ดงฮยอนก็เป็นใจเหลือเกิน เขาช่วยมินวูล็อคแขนผมด้วยล่ะ
หลังจากมหกรรมทรมานสิ้นสุดลง ทั้งสองก็พากันลากผมลงมาที่ทะเล จับกดน้ำจนเปียกไปทั้งตัว แน่นอนว่าเสื้อกล้ามสีขาวบางๆนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทันทีที่ลงน้ำมันก็เปียกจนแนบไปกับผิวเนื้อ ไอ่กางเกงเฮงซวยนี่ก็พอกันแหละ....นี่ตกลงว่ามาเสริมหรือบั่นทอนความมั่นใจของผมกันแน่เนี่ย!
‘พี่จองมินจะไปเปลี่ยนชุดก็ได้นะครับ แต่ต้องเดินไปเอง โรงแรมอยู่ที่เดิมนั่นแหละ แล้วนี่ก็กุญแจกับการ์ดครับ พี่ใช้เป็นใช่ไหม’
มินวูพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.....ฆ่าผมเถอะ
ผมยืนตัดสินใจอยู่นานว่าจะทนหนาวแล้วไปพร้อมกับมินวูหรือจะทนอายแล้วเดินไปเอง
คนอย่างผมแน่นอนว่าต้องเลือกทางแรกอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง สองคนนั้นก็ยังจีบกันไม่เสร็จสักที ผมเลยต้องจำใจเดินออกมา แต่เชื่อไหม...ผมคิดว่าพวกเขาตั้งใจล่ะ

ผมเดินออกมาคนเดียวกระเทียมลีบสุดๆ พยายามก้มหน้าก้มตาเดิน และกระชับผ้าขนหนูผืนน้อยในมือให้บดบังสัดส่วนในร่างกายให้มากที่สุด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาไม่หยุดอยู่ดี จะมองอะไรกันนักหนาเนี่ย คนที่แต่งตัวแบบนี้ก็มีตั้งมากมายทำไมไม่มอง จะเอาให้ทะลุเลยไหม ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมก็เขินเป็นน่ะ -///-
ในที่สุดผมก็ทนต่อสายตาแทะโลม(?)มากมายไม่ไหวจนต้องยกเอาผ้าขนหนูผืนเดียวที่มีมาคลุมหน้าแทน
อยากจ้องก็จ้องไป อย่างน้อยผมก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจ้องแล้วกัน
ผมจ้ำเท้าเดินต่อไปพลางคิดว่าทำไมตัวเองต้องมาทำตัวงี่เง่าอยู่ริมถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้ด้วย ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ ผมเป็นพี่นะ! เป็นพี่จริงๆนะ!!
ผมส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง และในขณะที่ผมเอาแต่สับสนอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น....
ปิ๊น~
เสียงลากยาวของแตรรถคันหนึ่งดังขึ้นในจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากพื้นพอดี รถยนต์สีดำคันหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว
ไม่ทันแล้ว
ผมคิดก่อนที่สติจะดับวูบไป....

ดวงตาเรียวค่อยๆปรือขึ้นหลังจากเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ
“เขาฟื้นแล้วๆ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอ? เฮ้อ! นึกว่าช๊อคตายไปแล้วซะอีก”
ปาก....
ทันทีที่ผมรู้สึกตัวตื่นก็ได้รับถ้อยคำอวยพรหวานหู เมื่อไล่สายตาไปรอบๆก็พบว่าห้องที่ผมอยู่ตอนนี้เป็นห้องในโรงแรมเดียวกันกับที่ผมพักอยู่ สังเกตจากโลโก้รูปโลมาสองตัวกำลังนัวเนียกัน...ผมไม่ได้พูดเกินความจริงสักหน่อย -*-
แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่ห้องผม!!
แล้วผมก็นึกย้อนไปว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง จำได้ว่า....ผมเกือบถูกรถเสยนี่! ผมตายแล้วงั้นเหรอ บนสวรรค์มีโรงแรมโลมานัวเนียด้วยเหรอเนี่ย ไม่หรอกมั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นนรกก็ได้
ผมมองไปรอบๆอีกครั้งและได้รับรู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
มีสายตาอีกสามคู่กำลังจ้องผมอยู่ พวกเขาต้องเป็นผีแน่ๆเลย
ขวามือเป็นผีเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่อายุไม่น่าจะห่างกับผมมาก ผมสีน้ำตาลแดง สูง ใส่ชุดสบายๆ ทางซ้ายของผมเป็นผีเด็กผู้ชายอีกคนที่...หน้าเหมือนกับคนทางขวาอย่างกับแกะมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ต่างกันก็ที่ผมเป็นสีม่วง และชุดที่ใส่ พวกเขาน่าจะเป็นผีแยกร่างมา
ถัดจากผีหัวม่วงเป็นผีผู้ชายอีกคนที่กำลังส่งยิ้มให้ผม เป็นผู้ชายร่างสูง ผิวขาว ผมสีดำสนิท และดูใจดี จากนั้นเขาก็ทำให้ผมตกใจด้วยการยื่นดอกไม้ช่อสวยมาให้ เป็นดอกไม้สีขาว มันคือดอกเบญจมาศ....ดอกไม้งานศพ บางทีเขาคงไม่ทันคิดก่อนให้ล่ะมั้ง...หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ไม่งั้นเขาก็แช่งให้ผมตายนั่นล่ะ เอ๊ะ! ผมตายแล้วนี่นา แต่....ดอกไม้พวกนี้สัมผัสได้จริง...
ผมหยิกแขนตัวเองและยังรู้สึกถึงความเจ็บที่เกิดขึ้น ผมยังไม่ตายหรือเนี่ย! งั้นก็แปลว่านายผมดำแช่งผมให้ตายงั้นสินะ ไม่หรอก....-*-
ผมมองช่อดอกเบญจมาศขาวในมือสลับกับมองหน้าของผู้คนที่ไม่คุ้นตารอบๆ และคิดว่าบางทีผมน่าจะถามถึงเหตุการณ์ก่อนสลบกับพวกเขาได้ หรือผมควรจะแนะนำตัวก่อนนะ
“เอ่อ...คือ ผมจองมินครับ...อี จองมิน มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
บางทีผมอาจจะเผลอทำหน้าโง่ๆใส่พวกเขา เลยทำให้นายคนผมน้ำตาลแดงหลุดยิ้มขำๆออกมา
“สวัสดีครับ ผมโจ ยองมิน”
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลแดงเอ่ย
“ผมโจ กวังมิน แฝดน้องของยองมิน”
คนผมม่วงพูดบ้างก่อนจะเดินอ้อมเตียงมาคล้องคอคนที่ชื่อยองมิน ที่จริงไม่ต้องบอกก็ได้ว่าแฝด หน้าเหมือนกันจนแยกไม่ออกขนาดนี้ ผมไม่โง่จนคิดว่าพวกเขาเป็นผีแยกร่างหรอก(?)
ผมหันไปมองอีกคนและคิดว่าเขาน่าจะแนะนำตัว แต่เขากลับทำแค่ยิ้ม
“อ่อ...นี่พี่ฮยอนซอง ชิม ฮยอนซอง เขาพูดไม่ได้น่ะครับ”
ยองมินเฉลย
อ้อ....ผมถึงบางอ้อในที่สุด โถ...หล่อขนาดนี้ไม่น่าเลย
ฮยอนซองส่งยิ้มบางๆมาให้ผม ซึ่งผมก็ทำได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไป
หลังจากแนะนำตัวและจัดสถานะได้ว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง(จะได้เรียกถูก) ยองมินก็เล่าให้ผมฟังว่าคนที่ช่วยชีวิตผมไว้คือ พี่ฮยอนซอง ตอนนั้นพวกเขากำลังลงไปหาอะไรกินแถวหน้าโรงแรมพอดี แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงแตรดังลั่น จากนั้นพี่ฮยอนซองก็พุ่งออกไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน เขากระชากตัวผมออกจากวิถีรถ
พระเอกซีรี่ส์เกาหลีชัดๆ
พี่ฮยอนซองมองมาที่ผมตลอดเวลาที่สองแฝดสลับกันเล่าเรื่อง...บางทีน่าจะเรียกว่าแย่งกันพูดมากกว่า อย่างเมามัน เขามีรอยยิ้มประดับบนหน้าเสมอ...หล่อจัง -.,-
ผมขอบคุณพวกเขายกใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับห้อง เพราะคิดว่าสองคนนั้นน่าจะจีบกันเสร็จแล้ว และกำลังเป็นห่วงผมอยู่ กวังมินบอกผมว่าพวกเขาจะอยู่ที่ทะเลอีกหลายวัน ถ้าโชคดีอาจเจอกันอีก
“เฮ้อ~”
วันนี้เหนื่อยสุดๆเลย
ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะหยิบการ์ดสีเงินออกมา และกุญแจ....กุญแจล่ะ!!?
ซวยแล้วไง ผมทำกุญแจห้องหาย... ผมตัดสินใจเคาะประตูเพราะคิดว่ามินวูน่าจะอยู่ในห้องแล้ว(ที่นี่มีกุญแจกับการ์ดให้สองชุด อีกชุดอยู่ที่พี่ดงฮยอน) แต่แล้วก็...เงียบ
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย นี่พวกเขายังไม่ขึ้นมาอีกเหรอเนี่ย!
ผมได้แต่รอ รอ และรอ อะไรกัน ไม่คิดจะกลับห้องกันเลยใช่ไหมสองคนนั่นน่ะ ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเดินไปไหนแล้วนะ แล้วนี่อีก แผลจากที่เกือบถูกรถเสย แม้ว่าจะมีพี่ฮยอนซองช่วยแต่ผมก็ยังได้แผลมาบ้างอยู่ดี บางทีมือของผมคงฟาดเข้ากับอะไรซักอย่างตอนล้มนั่นล่ะ
ผมทรุดตัวลงกับพื้นหน้าห้อง ก้มลงมองตัวเองแล้วหดหู่ชะมัด เสื้อกล้ามบางๆกับกางเกงที่ใกล้แห้งเลอะทราย มอมแมมยิ่งกว่าเป็ดตกโคลนซะอีก
อนาถ....
ผมนั่งกอดขาก่อนจะซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง ร้องไห้....ผมยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอมากจริงๆ แต่ในสภาพอย่างนี้ใครจะทนไหวล่ะ แฟนทิ้ง ชุดงี่เง่า เกือบตาย เจ็บแผล มอมแมม....ฮึก
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังขึ้นในความเงียบก่อนจะหยุดลงตรงหน้าผม แต่กลับไม่มีเสียงพูดอะไรเลยทั้งๆที่เจ้าของฝีเท้าน่าจะเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ คนปกติน่าจะถามนี่นาว่าเป็นอะไร หรืออะไรทำนองนั้น แสดงว่าคนตรงหน้าผมไม่ปกติ เลยไม่ถาม
ผมเงยหน้าขึ้นไปและได้คำตอบที่แท้จริงว่า ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่เขาพูดไม่ได้ต่างหากล่ะ ใช่แล้ว....
พี่ฮยอนซอง
แม้ว่าตอนนี้น้ำตาจะกลบทุกอย่างจนกลายเป็นภาพพร่าเลือน แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เขาส่งมา พี่ฮยอนซองยื่นมือมาตรงหน้าผม คล้ายจะบอกให้ลุกขึ้น
ผมยื่นมือไปจับและพยุงตัวลุกขึ้น แต่ด้วยความเจ็บปวดหรืออะไรก็แล้วแต่ มันทำให้ผมคิดว่าต้องการที่พึ่งพิงสักคน... ผมโผเข้ากอดเขา และร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไว้ใจผู้ชายตรงหน้ามากขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเขาช่วยชีวิตผม รอยยิ้มใจดี หรือความเป็นห่วงที่สัมผัสได้จากคนๆนี้
พี่ฮยอนซองกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นและตบหลังผมเบาๆเหมือนผมเป็นเด็กน้อย เขาคงกำลังสื่อให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังปลอบใจผมอยู่
สักพักเขาก็ค่อยๆดันผมออกจากอ้อมแขนและชูสิ่งหนึ่งขึ้นมา
โทรศัพท์?
แต่แล้วผมก็เข้าใจเมื่อจ้องดีๆ ก็เห็นว่าเขาพิมพ์ข้อความหนึ่งลงไป

‘เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า’

ผมยิ้มบางๆตอบเขาพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย
“เปล่าครับ แค่เหนื่อยมากๆน่ะ”
เขายิ้มกลับมา และก้มลงไปพิมพ์ข้อความอีกครั้ง

‘เข้าห้องไม่ได้ล่ะสิ’

เขายื่นมันมาตรงหน้าผม และยิ้มขำๆ
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าเขารู้ได้ยัง...แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้ มันห่างกับห้องพวกเขาตั้งหลายชั้นนี่นา คงไม่ได้ถามทางมาหรอก
ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ยื่นอีกสิ่งมาตรงหน้าผมซึ่งไม่ใช่โทรศัพท์ สงสัยหน้าผมจะฟ้องว่ากำลังคิดอะไร หรือเป็นเซ้นท์พิเศษของคนที่พูดไม่ได้ก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่า...สิ่งที่เขายื่นมาเป็นสิ่งที่ช่วยชี้แจงคำถามในใจของผมได้ทุกอย่าง
กุญแจ?
พี่ฮยอนซองวางมันลงบนมือของผมก่อนจะก้มหน้าลงไปพิมพ์ข้อความอีกครั้ง
ผมมองกุญแจในมือ และเมื่อสังเกตหมายเลขบนกุญแจผมก็รู้ทันทีว่านี่มันกุญแจห้องพักของผม! เขาได้มันมายังไงเนี่ย
พี่ฮยอนซองยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผมอีกครั้งพร้อมยิ้มกว้าง

‘นายทำตกไว้บนเตียงของฉัน’

ผมยิ้มตอบเขา ก่อนจะเอามือลูบต้นคอไปมาแก้เก้อ...หรือแก้ เซ่อ ก็ไม่แน่ใจนัก
จู่ๆพี่ฮยอนซองก็ยื่นมือออกมา
???
แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง เขาจับตัวผมให้หันเข้าหาเขาตรงๆก่อนจะค่อยๆปาดน้ำตาบนหน้าให้อย่างแผ่วเบา สัมผัสนุ่มบนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ และใบหน้าที่ร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ....
พี่ฮยอนซองยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะโบกมือไปมาคล้ายจะพูดว่า บ๊ายบาย
ซึ่งผมก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
หลังจากที่เขาผละไปแล้ว ผมถึงได้เริ่มรู้สึกตัว ในขณะเดียวกันก็ได้แต่ยกมือขึ้นทาบใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเองและเลื่อนลงมาที่ตำแหน่งของหัวใจ
ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน
ผมถามตัวเอง ก่อนจะหันหน้าเข้าห้อง และเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างเลื่อนลอยคล้ายคนโดนของ

เราจะไปดินเนอร์กันสองคน หาอะไรกินที่ด้านล่างโรงแรมแล้วกันนะครับ
-มินวู-

ผมมองกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนแปะไว้หน้าตู้เย็นอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้ผมรับรู้แค่ว่าเหนื่อยมาก....
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหนานุ่ม และเอาช่อดอกไม้ในมือวางลงที่โต๊ะข้างเตียงพลางคิดในใจว่าเดี๋ยวค่อยลุกไปอาบน้ำแล้วกัน ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจริงๆ

สายลมพัดโชยมาจากระเบียงด้านข้าง แสงแดดอบอุ่นแผ่มาจนถึงตัวผมที่คุดคู้อยู่บนเตียงกว้างสีขาว ผมลากผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมมิดหัวเพื่อหลีกเลี่ยงแสงนั่น ผมอยากนอนต่อ...
อา....ทำไมหัวมันหนักอึ้งขนาดนี้เนี่ย
ผมฝังหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ และยังไม่ทันที่จะได้เข้าสู่ห้วงความฝันอีกครั้ง ก็มีใครบางคนลากผ้าห่มของผมออกจากตัว โดยที่ผมไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย
ผมปรือตาขึ้นมองและพบว่าคนที่ลากผ้าห่มผมไปคือมินวู
ผมครางประท้วงเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวคว่ำลงบนเตียงแทนเพราะรู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น
....ปวดหัวจัง
“พี่จองมิน ตื่นไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจากที่แค่ไข้ขึ้นมันจะเปลี่ยนเป็นปอดบวมแทนนะครับ”
นี่ผมหูฝาดหรือเปล่าที่รู้สึกว่าเสียงนั้นมันมีความห่วงใยแฝงไว้ด้วยน่ะ
ช่างเถอะ...ผมทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะซุกตัวลงกับเตียงต่อไป
“เฮ้อ~ทำไมดื้อขนาดนี้เนี่ย”
แล้วจู่ๆเสียงออดของห้องเราก็ดังขึ้น ทำให้มินวูจำใจต้องผละออกจากผมที่ทำตัวเป็นเด็กดื้อเพื่อไปเปิดประตูที่ด้านหน้า
และนั่นก็เป็นโอกาสดีที่ผมได้ลุกไปลากผ้าห่มคืนมา ผมคลุมมันจนมิดหัวและตั้งท่าจะหลับอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องจำใจลดมันลงอีกครั้งเพราะคำพูดของมินวู
“พี่จองมิน มีคนมาหาครับ”
ผมมองออกไป แต่ในระยะหน้าประตูห้องนอนมันยังถือว่าไกลเกินไปสำหรับคนสายตาสั้นอย่างผม ด้วยความเคยชิน ผมยื่นมือไปข้างเตียงเพื่อควานหาแว่นแต่ก็ไม่เจอ
อา...มันถูกโยนทิ้งไปแล้วนี่
ผมทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปหาใครบางคนที่บอกว่ามาหาผม แต่จู่ๆก็รู้สึกว่าหน้ามืดจนต้องล้มลง โชคยังดีที่แขกของผมไวพอที่จะก้าวมาประคองผมไว้ก่อนหัวฟาดพื้น
ฮยอนซอง!!?
ผมมองเจ้าของอ้อมแขนแกร่งอย่างตกใจ
“เอ่อ....พี่ฮยอนซอง? มาได้ไงครับ”
เขายิ้มและพยุงผมให้นั่งพิงกับหัวเตียง และใช้วิธีเดียวกับเมื่อวานสื่อสารกับผม

‘เป็นห่วงเลยมาดู แล้วก็เจอคนป่วยดื้อๆไม่ยอมไปอาบน้ำ’

“เอ่อ....”
พี่ฮยอนซองส่งยิ้มล้อเลียนมาที่ผม...
“ครับ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

ผมเปิดประตูออกจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวต่างๆเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ผมพยายามทำใจให้ชินกับคอนแทคเลนส์ เพราะถ้าไม่ใส่ผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด....โลกมืดสุดๆ
และคงจะเป็นโชคดีของผมที่เช้านี้มินวูไม่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการให้ผมแต่งชุดนู่นนั่นนี่ คงเพราะมีแขกมาด้วยล่ะมั้ง อย่างนี้ต้องให้พี่ฮยอนซองมาเป็นไม้กันมินวูบ่อยๆ...ผมไม่ได้พูดนะว่ามินวูเป็นน้องหมาอ่ะ -*-
ผมเลือกหยิบเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินลายจุดสีขาว คู่กับกางเกงยีนส์ขายาวอีกตัวที่เข้ากัน
จริงๆสไตล์การแต่งตัวของผมก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพียงแต่ผมชอบที่จะหยิบอะไรง่ายๆมากกว่า
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอาชุดที่เลือกมาสวม ผมก็เหลือบไปเห็น....พี่ฮยอนซองยืนพิงประตูโดยที่ยังหันหลังให้ผมอยู่
“เฮ้ย!”
ผมมองตัวเองแล้วก็แทบทรุด มีแค่ผ้าขนหนูพาดเอวไว้เท่านั้นเอง
ทันทีที่ผมเผลอเปล่งเสียงออกไป พี่เขาก็หันมาแล้วก็ผงะ....ย้ำว่าพี่แกถึงขั้นผงะเลยจริงๆ คิดว่าเขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจมายืนอยู่ตรงนี้ ก็คงมีไอ่บ้าไม่กี่ตัวหรอกที่มายืนเซ่อแต่งตัวหน้าห้องน้ำ!
แล้วทำไมผมต้องเป็นไอ่บ้าคนนั้นต่อหน้าพี่ฮยอนซองด้วยล่ะ T^T
ผมรู้สึกว่าไม่กี่ชั่วโมงที่เราพบกันตัวเองดูจะเป็นคนที่เสียสติเอามากๆเลย ทำตัวโง่ๆให้เขาได้เห็นตลอดเลย
ชีวิตนี้ช่างโหดร้าย....
ผมรีบย้ายตัวเองไปยืนหลังตะกร้าผ้าทั้งๆที่รู้ว่าแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย ส่วนพี่ฮยอนซองเองเมื่อสติกระแทกกลับเข้าตัวก็รีบหันหลังและเดินออกไปจากบริเวณนี้ทันที
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง คงเหลือไว้แต่ความอับอาย อาภัพ อับโชค...จนอยากจะอาพาธอีกรอบ....

หลังจากเหตุการณ์งี่เง่าเมื่อเช้า ผมก็พยายามที่จะไม่สบตาหรือพูดอะไรที่โยงไปหาเรื่องน่าอับอายนั่นกับพี่ ฮยอนซอง พี่เขาก็ไม่ได้พยายามพูดอะไร...ถ้าพูดได้เขาก็อาจจะพูดล่ะนะ
เราพากันเดินลงมาที่ชั้นล่างเพื่อหามื้อเช้ากินกัน ห้องอาหารของโรงแรมนี่ใหญ่พอสมควรเลย เป็นโต๊ะแบบบุฟเฟ่ต์ ผมเห็นว่ามินวูมานั่งอยู่กับพี่ดงฮยอนอยู่ก่อนแล้ว เลยเดินไปตักอาหารของตัวเองและมานั่งอยู่กับพวกเขา ผมเลือกที่นั่งติดกับมินวู
เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นว่าตอนนี้มีนักทั้งท่องเที่ยวและแขกเหรื่อในโรงแรมมานั่งทานอาหารกันมากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าโต๊ะเต็มไปหมดแล้ว แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดที่อีกสิ่งหนึ่ง คือพี่ฮยอนซองและสองแฝดที่ยืนถือจานอาหารในมือและทำท่าทางเหมือนว่ากำลังมองหาที่นั่งกันอยู่
โต๊ะของผมยังว่างอยู่อีกสามที่...
ผมหันไปหามินวูคิดว่าจะขออนุญาตเขาก่อน แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่ต้อง
โลกนี้มันมีกันอยู่สองคน....
ผมลุกขึ้นและเดินไปเรียกพวกเขาให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน ซึ่งสองแฝดก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับคำเสนอนี้ พี่ ฮยอนซองหันมายิ้มให้ผมคล้ายจะบอกว่า ขอบคุณ
เรานั่งกินอาหารกันไปสักพักจนในที่สุดมินวูก็รู้ตัวว่ายังมีมนุษย์ต่างดาวอย่างพวกผมนั่งร่วมโต๊ะอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วใส่มนุษย์ต่างดาวนอกระบบความทรงจำทั้งสอง(ไม่นับพี่ฮยอนซองเพราะเจอกันแล้วเมื่อเช้า)เป็นเชิงถามว่า พวกคุณเป็นใคร
ซึ่งยองมินก็รับหน้าที่โฆษกที่ดีกระจายข่าวสู่มนุษย์โลกทั้งสองว่าแต่ละคนเป็นใครและพวกเขารู้จักผมรู้จักกันได้ยังไง
แน่นอนว่าตอนที่พวกเขาบอกมินวูว่าผมเกือบถูกรถทับ มินวูเองก็ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละ
หลังจากขั้นตอนแนะนำตัวผ่านไป ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงกระชับมิตรเพราะคิดว่าน่าจะยังเวียนว่ายตายเกิดและโคจรมาพบเจอกันอีกหลายวัน
“พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าพรุ่งนี้จะมีงานเทศกาลชายทะเลน่ะ”
ยองมินพูดขึ้นมาลอยๆ
“จริงเหรอ ที่ไหนล่ะ”
และทันทีที่เรื่องน่าสนุกอย่างนั้นกระทบเข้าประสาทหู ก็เกิดปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ต่อเนื่องมายังมินวูที่ตอบรับแทบจะทันที
“รู้สึกว่างานจะจัดที่ริมชายหาดหน้าโรงแรมนี่ล่ะ ก็คงเหมือนทุกปี...”
กวังมินตอบทั้งที่ยังเคี้ยวเบคอนอยู่เต็มปาก แต่ประโยคหลังดูเหมือนว่าเขาจะพูดกับตัวเองมากกว่า
“ถึงว่า...ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษเลย”
ผมออกความเห็นเพื่อแสดงความมีตัวตน....
“นั่นสิ”
มินวูพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้ว...พวกนายจะไปร่วมงานกันรึเปล่าล่ะ”
พี่ดงฮยอนถามบ้างหลังจากเงียบไปนานเพราะมัววุ่นอยู่กับการเฉือนสเต็กที่หั่นเท่าไหร่ก็หั่นไม่ออกจนต้องเลิกล้มความพยายามไปเอง
ผมมองเสต็กในจานพี่ดงฮยอนก่อนจะตัดสินใจเงียบๆว่าจะไม่ตักมันมากินเด็ดขาด สเต็กอะไรจะเหนียวขนาดนั้น.....แบบนี้มันหนังสติ๊กแล้ว!
“แน่นอนครับ เทศกาลนี้มีแค่ปีละครั้งเอง ทำไมเราจะไม่ไปล่ะ ถ้าพูดให้ถูก...พวกเรามาที่นี่เพื่องานเทศกาลนี้โดยเฉพาะ....”
กวังมินพูดยังไม่ทันจบก็ถูกยองมินใช้ศอกถองเข้าที่สีข้าง
มีอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย คง...เป็นเพราะกวังมินชิงพูดทุกอย่างเลยล่ะมั้ง...
ไม่ไหวจริงๆเลยแฝดคู่นี้
ผมหันไปมองพี่ฮยอนซองก่อนจะทันสังเกตเห็นความวูบไหวในดวงตาของเขา และเหมือนพี่ฮยอนซองเองจะรู้ตัวว่าถูกมอง เขาเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะส่งยิ้มละมุนมาให้ผม
ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ารอยยิ้มนั่นมันดูเศร้าๆน่ะ....
และก่อนที่ผมจะคิดเองเออเองไปมากกว่านั้นยองมินก็เริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
“งานเริ่มประมาณหนึ่งทุ่มวันพรุ่งนี้นะครับ เอ....ผมบอกหรือยังว่ามันเป็นเทศกาลดนตรีน่ะ”
“จริงเหรอ...ใครๆก็เข้างานได้เหรอ”
พี่ดงฮยอนเป็นฝ่ายถาม
“ไม่หรอกครับ เฉพาะแขกของโรงแรมน่ะ”
กวังมินตอบ
“ว้าว~อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา”
มินวูเอ่ย
“แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องของดนตรีหรอกนะครับ ถ้าไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจก็คงไม่มีคนมาเพื่อร่วมงานมากมายขนาดนี้หรอกครับ ถ้าพูดให้ถูก เรื่องดนตรีก็เป็นเหมือนข้ออ้าง”
ยองมินพูดพร้อมกับที่ยัดขนมปังเข้าปาก
“ก็อย่างที่ยองมินบอก ทางโรงแรมได้สร้างเงื่อนไขก็คือผู้ร่วมงานทุกคนต้องแต่งชุดที่มีกระดุมน่ะครับ”
กวังมินเสริม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความเข้าใจกระจ่าง ยองมินจึงพูดต่อหลังจากเคี้ยวขนมปังหมดปาก
“เพื่อที่ว่าเราจะใช้กระดุมเม็ดที่สองหรือเม็ดที่สามน่ะ”
“กระดุมเม็ดที่สองหรือสาม?”
มินวูพึมพำเบาๆพลางขมวดคิ้ว
“จุดประสงค์หลักของงานก็คือการจับคู่ คู่รักจะได้รักกันมากขึ้นไปอีก ส่วนคนไร้คู่ก็จะได้มองหาคู่”
กวังมินพูดบ้าง
“โดยเราจะทำการแลกกระดุมกับคนที่เราคิดว่าใช่ หรือคนที่ถูกใจ ซึ่งก็คือผู้ร่วมงาน”
“แล้วทำไมต้องกระดุมเม็ดที่สองหรือสามล่ะ เม็ดแรกไม่ได้เหรอ”
ผมถามด้วยความสงสัย
“เพราะกระดุมเม็ดที่สองหรือบางทีก็เม็ดที่สามเป็นกระดุมเม็ดที่อยู่ตรงกับหัวใจเราพอดีน่ะสิครับ มันเปรียบเทียบเหมือนกับว่าเราแลกหัวใจกับอีกฝ่ายน่ะ แล้วอีกอย่างคงไม่มีคนคอสั้นขนาดที่กระดุมเม็ดแรกมันจะอยู่ที่อกหรอกนะครับ - -* ”
“บางทีเขาอาจจะใส่เสื้อกั๊กที่มีกระดุมไง ถึงคอจะไม่สั้นแต่เม็ดแรกของมันก็น่าจะอยู่ใกล้อกที่สุดนะ -*- ”
ผมพึมพำเบาๆ
“พี่ไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างที่คิดก็ได้นะครับ และอีกอย่างชายทะเลแบบนั้นคงมีไม่กี่คนหรอกครับที่โง่ใส่เสื้อกั๊กแทนที่จะใส่เสื้อที่รับลมเย็นๆสบายๆแบบนั้นน่ะ”
แล้วทำไมแกต้องเน้นที่คำว่าโง่ด้วยล่ะมินวู....
และเมื่อผมคิดจะหันให้ตอกหน้าเขากลับบ้าง มินวูก็ทำทีเป็นไม่สนใจแล้วหันไปนั่งคุยกับพี่ดงฮยอนชนิดปิดกั้นโลกภายนอกทันที
ให้ตายเถอะ ฉันล่ะเกลียดแกจริงๆ - -*

หลังกินอาหารเสร็จผมก็กลับขึ้นมานอนแผ่หลาบนห้องของตัวเอง อย่าถามถึงมินวู...ปล่อยพวกเขาให้อยู่ในโลกสองคนเถอะ ผมขอเป็นแค่ดาวหางที่นานๆจะโคจรมาใกล้ๆโลกสักครั้งพอ
‘มีข้อความใหม่ มีข้อความใหม่’
จู่ๆโทรศัพท์ของผมก็แผดเสียงขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ใครส่งข้อความมานะ

‘ว่างรึเปล่า ไปนั่งรถเล่นเป็นเพื่อนหน่อยสิ’
-ฮยอนซอง-

ผมบอกหรือยังว่าผมกับพี่ฮยอนซองแลกเบอร์กันแล้วน่ะ

‘แล้วตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนล่ะครับ’

ผมพิมพ์กลับไปแทนคำตอบว่า ตกลง ซึ่งไม่นานนักพี่ฮยอนซองก็พิมพ์กลับมา

‘ลานจอดรถหน้าโรงแรม’

ทันทีที่ได้รับข้อความผมก็จัดแจงย้ายตัวเองไปหน้ากระจกเพื่อส่องดูความเรียบร้อยของตัวเอง ผมควรจะเปลี่ยนชุดด้วยไหมนะ...
เฮ้! ทำไมผมต้องทำอย่างกับว่าจะไปออกเดทด้วยล่ะ แล้วนี่อะไร...แกหน้าแดงเหรอจองมิน!! บ้าไปแล้ว!
ผมส่ายหัวไล่ความคิดบ้าๆออกไป ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์....กระเป๋าสตางค์เหรอ แค่ไปนั่งรถเล่นคงไม่ต้องใช้หรอกมั้ง หรือถ้าจะต้องใช้...ฮยองก็จ่ายด้วยแล้วกัน ผมเปล่างกนะ แค่บังเอิญว่างบมันน้อย ก็มินวูเล่นลากผมออกมาทั้งๆอย่างนั้นนี่นา -^-
คิดได้ดังนั้นผมก็โยนมันกลับเข้ากระเป๋าเดินทางไป
อา...พร้อมแล้ว~
ผมวิ่งออกจากห้อง และตรงไปที่ลิฟต์ทันที ไม่ใช่ว่าอยากเจอพี่ฮยอนซองมากหรอกนะ แค่กลัวว่าเขาจะรอนานแล้วจะกลายเป็นว่าผมเสียมารยาทเท่านั้นแหละ
จริงๆ...
ผมใช้เวลามองหาพี่ฮยอนซองไม่นานก็เจอเขากำลังยืนพิงรถสปอร์ตสีดำเปิดประทุนคันหรูอยู่ ตอนที่บอกว่าจะพาไปนั่งรถเล่นไม่คิดว่ารถมันจะหรูขนาดนี้นะเนี่ย....
ผมค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ๆเขาทีละนิด เพื่อหวังจะแกล้ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าเขากำลังเหม่อ... เหม่อมองภาพๆหนึ่งบนหน้าจอโทรศัพท์
เป็นรูปที่พี่ฮยอนซองกำลังยิ้มกว้างยืนคู่กันกับผู้หญิงคนหนึ่ง ดวงตากลมโตดูร่าเริงแจ่มใส จมูกโด่งรั้นรับกันกับริมฝีปากบางสีชอมพูอมส้ม
สวยจัง...
“ใครเหรอครับ สวยมากเลย”
ผมถามออกไป และนั่นก็ทำให้พี่ฮยอนซองสะดุ้งจนสุดตัว เขารีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหันมายิ้มเจื่อนๆให้ผม พลางส่ายหัวเล็กน้อยประมาณว่า ไม่มีอะไรหรอก จากนั้นเขาก็ส่งสายตาสงสัยที่แปลได้ไม่ยากว่า มานานแล้วเหรอ?
“อ่อ...ไม่หรอกครับ ผมพึ่งเดินมาถึงไม่นานนี่เอง”
เขายิ้มและเดินไปเปิดประตูรถให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ทันทีที่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้วผมก็ทันสังเกตเห็นว่ามีดอกเบญจมาศขาววางอยู่ที่เบาะหลังสองช่อ
พี่ฮยอนซองเข้ามานั่งประจำที่คนขับ แล้วจู่ๆเขาก็เอื้อมมือออกไปยังเบาะหลังรถเพื่อหยิบเบญจมาศขาวช่อหนึ่งส่งมาให้ผม
....
ผมรู้สึกว่าตอนนี้หน้าของผมคงแดงมากแน่ๆเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับอะไรแบบนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มักจะมีแต่คนที่เข้าหาผมเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น ก็อย่างที่มินวูพูดนั่นแหละ ผมก็รู้นะ แต่ก็ยังแอบหวังทุกครั้งว่าสักวันจะมีสักคนที่มาเคียงข้างเราเพราะความรักจริงๆ
บางที...ผมอาจเจอเขาแล้วก็ได้นะ

พี่ฮยอนซองพาผมขับรถออกไปเรื่อยๆ ลมเย็นที่ปะทะใบหน้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย....
และเผลอหลับไปในที่สุด

รถสปอร์ตสีดำแล่นมาเรื่อยๆตามถนนเรียบ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาแทบจะไม่มีรถสวนผ่านมาเลย และในที่สุด รถคันหรูก็หยุดลงใกล้ๆกับชะง่อนผาแห่งหนึ่งที่ไร้แววผู้คน
ร่างสูงในชุดเสื้อโค้ดสีดำเดินมาพร้อมกับดอกเบญจมาศขาวช่อสวยในมือ ...ฮยอนซองเดินมาเรื่อยๆจนสุดชะง่อนผาก่อนจะโยนช่อดอกไม้ในมือลงไปสู่ทะเลเบื้องล่าง
แววตาแสนเจ็บปวดถูกส่งออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ค่อยๆไหลริน...
“ว้าว~พี่ฮยอนซอง! ทำไมไม่ปลุกผมล่ะครับ....ที่นี่สวยจังเลย~”
ฮยอนซองรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินเสียงของใครอีกคนจากด้านหลัง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วเมื่อเขาหันกลับไป....

ผมมองภาพเบื้องหน้าอย่างหลงใหลสุดๆ ที่นี่คงเป็นชะง่อนผาสักที่ไม่ไกลจากโรงแรมของเรานัก เพราะผมยังสามารถเห็นโรงแรมของเราได้จากตรงนี้ ลมเย็นพัดเอื่อยชวนให้สบายใจ
ผมขยับเท้าเข้าไปจนใกล้กับตรงที่พี่ฮยอนซองยืนอยู่
ผาตรงนี้ไม่ได้สูงอะไรมากนัก แต่เรื่องความสวยนี่สุดๆ ท้องทะเลสีครามถูกโอบล้อมไว้ด้วยท้องฟ้าที่...ออกจะ...ครึ้มๆ
หืม?....อย่าบอกนะว่า
แปะ แปะ
ฝนตก....
ผมพึ่งเดินออกจากรถมาไม่ถึงสามนาทีเลยนะ โถ่....เมื่อไหร่ผมจะมีโชคเข้าข้างเหมือนคนอื่นเขาบ้างนะ!! พี่ฮยอนซองหันมาหาผมที่กำลังทำหน้าหมดอาลัยตายอยากก่อนจะฉุดแขนผมให้ตามไปที่รถและดันผมเข้าไป
เขาจัดการปิดประทุนแต่ยังไม่ออกรถไปไหน

‘โกรธหรือเปล่าที่ไม่ได้เรียกน่ะ’

ผมอ่านข้อความที่เขายื่นมาตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ ผมจะโกรธเขาทำไมกันล

2[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Wed Jun 05, 2013 2:46 pm

modsant


Members
Members

อ่านต่อๆๆๆที่นี่นะ


ผมอ่านข้อความที่เขายื่นมาตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ ผมจะโกรธเขาทำไมกันล่ะ ผมก็แค่....

‘จะให้พากลับโรงแรมเลยไหม’

ผมส่ายหัวน้อยๆพร้อมเบะปากคล้ายจะร้องไห้ ผมยังไม่อยากกลับ! กลับไปก็ต้องอยู่คนเดียว....

‘อา....นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว งั้นเราไปหาอาหารทะเลกินกันไหม มีร้านอร่อยๆอยู่ใกล้ๆนี่ด้วยล่ะ’

ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อเห็นว่าตอนนี้ใกล้เที่ยงมากแล้วจริงๆ ถึงผมจะ...งอนเขานิดหน่อย แต่ยังไงเรื่องกินก็ถือเป็นเรื่องใหญ่อยู่ดีนั่นแหละ
ผมส่งยิ้มกว้างทันทีที่นึกถึงของกินที่กำลังรออยู่ และเมื่อหันไปก็เห็นว่าพี่ฮยอนซองเองก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
....อย่ายิ้มแบบนี้สิ
เดี๋ยวผมก็ละลายคาเบาะกันพอดีหรอก.....
-///-

พี่ฮยอนซองขับรถฝ่าสายฝนไปเรื่อยๆตามเส้นทางเดิมที่เคยมา แต่ผมไม่คุ้นมันหรอกนะ....เพราะขามาผมเอาแต่หลับน่ะสิ
ยอมรับเลยว่าน่าเสียดายมากๆที่หลับไปตอนนั้น วิวสองข้างทางแถวนี้สวยมาก เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ถ้าได้ดูมันตอนที่ฝนยังไม่ตกก็คงจะสวยยิ่งกว่านี้อีกแน่ๆเลย...
ชีวิตผมเคยมีอะไรดีๆบ้างไหมเนี่ย - -”
เราขับรถมาอีกสักพัก พี่ฮยอนซองก็เลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มันเป็นร้านอาหารขนาดกลาง ตกแต่งแบบเน้นให้ความผ่อนคลาย และที่สำคัญ....มันเป็นร้านอาหารไทยล่ะ!
ถ้าจำไม่ผิด เห็นเขาบอกว่าอาหารของประเทศนี้อร่อยแล้วก็รสจัดมากเลยนี่นา
พี่ฮยอนซองนำผมเดินเข้าไปที่มุมๆหนึ่งของร้าน เมื่อมองจากมุมนี้ก็จะสามารถมองเห็นทะเลด้านนอกได้ด้วย แม้ฝนจะยังกระหน่ำตกไม่ยอมหยุด แต่ผมก็ยังพอจะจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าตรงนี้คงจะเป็นมุมที่มองทะเลได้สวยที่สุดของร้าน
ถ้าฝนไม่ตกก็คงจะดีกว่านี้มาก
เราเลือกสั่งอาหารทะเล(เพราะที่นี่เป็นร้านอาหารทะเล) ผมมองเมนูที่เยอะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งปู ปลา กุ้ง หมึก หอย เอาอะไรดีล่ะเนี่ย ไม่ค่อยรู้จักเลย บอกตามตรงว่าผมรู้จักแต่ต้มยำกุ้งล่ะ

‘ต้มยำกุ้งที่นี่อร่อยมากเลยนะ’

พี่ฮยอนซองแนะนำผมผ่านการพิมพ์ในโทรศัพท์อีกเช่นเคย
“ต้มยำกุ้งอย่างเดียวเหรอครับ แล้วมันจะไม่เผ็ดเกินไปเหรอ นี่อาหารไทยเชียวนะครับ”
ผมถามออกไปอย่างหวั่นๆ เพราะกลัวจะกินไม่ไหว

‘งั้นก็เอาข้าวผัดปูมาดับรสเผ็ดสิ กุ้งเผาก็ดีนะ บาร์บีคิวก็มี ปูผัดผงกะหรี่ หมึกย่าง ฯลฯ’

เอ่อ...พี่ฮยอนซองอาจจะทำอาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารได้ดีนะ สงสัยเขาน่าจะเคยมาร้านนี้บ่อยมาก เพราะทุกเมนูที่เขาบอกมา เขาพิมพ์มันโดยที่ไม่ต้องมองเมนูเลยแม้แต่น้อย
หลังจากปรึกษากันอยู่สักพัก ผมก็ตัดสินใจสั่งอาหารเลื่องชื่อ ต้มยำกุ้ง และเลือกมาอีกสองอย่างคือ ข้าวผัดปู และกุ้งเผา
นั่งรอไม่ถึงสิบนาที อาหารที่สั่งทั้งหมดก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าเรา
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยขึ้นกระทบจมูกพร้อมไอควันอ่อนๆบ่งบอกว่ามันเพิ่งจะเสร็จและน่าจะร้อนพอสมควร สีสันของอาหารทั้งสามจานดูจัดจ้านไม่แพ้กัน และความน่ากินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
น้ำลายจะไหล....
ผมเลือกตักต้มยำกุ้งเป็นอย่างแรก และกว่าจะรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่ตักมันจนเต็มช้อนและซดมันภายในคำเดียวทั้งที่ยังไม่ได้เป่าก็สายไปเสียแล้ว...
“โอ๊ย! ร้อนๆๆ เผ็ดด้วยอ่ะ”
ผมเบ้ปากและมองหาน้ำแทบจะทันที ซึ่งพี่ฮยอนซองก็ดูจะเข้าใจความรู้สึกของผม เขาจึงรีบรินน้ำจากเหยือกใส่ให้ผมจนเต็มแก้ว และยื่นมันมาตรงหน้า
“ขอบคุณครับ”
ผมพูดรัวๆก่อนจะรีบยกน้ำขึ้นจรดริมฝีปากและกินมันเข้าไป แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก ผมจึงเปลี่ยนมาอมน้ำเอาไว้ในปากสักพักแล้วค่อยกลืนมันลงไปแทน
เกือบตายแล้ว
ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่ฮยอนซองที่กำลังส่งยิ้มขำๆมาให้ผม
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ก็รู้ว่ามันทั้งร้อนทั้งเผ็ดทำไมไม่เตือนผมก่อนล่ะครับ”
เมื่อพูดจบผมก็ต้องจำใจแลบลิ้นออกมา ไม่ใช่ว่าจะเล่นอะไรกับพี่ฮยอนซองหรอกนะ แต่เพราะมันเผ็ดมากจนต้องทำแบบนี้ต่างหาก
และดูเหมือนพี่เขาก็เข้าใจดี แต่เขาก็ยังจงใจล้อเลียนผมด้วยการแลบลิ้นออกมาบ้าง
ผมถลึงตาใส่เขาทันที ซึ่งผลตอบรับก็คือพี่เขาหัวเราะหนักกว่าเดิมอีก แม้จะเป็นการหัวเราะที่ไร้เสียงแต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเขามีความสุขขนาดนี้จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม...
ไม่แน่ว่า...บางทีพี่ฮยอนซองอาจจะเป็นโชคดีของผมก็ได้นะ

ในที่สุดอาหารมื้อใหญ่ก็ผ่านพ้นไป เรายังคงนั่งอยู่ที่ร้านเดิมเพราะไม่มีเหตุผลที่จะรีบกลับโรงแรม แล้วอีกอย่างการได้มองวิวทะเลในตอนนี้ก็เป็นอะไรที่ดีมากๆเลยเพราะฝนที่เพิ่งจะหยุดตกเลยทำให้ท้องฟ้าตอนนี้แจ่มใสสุดๆ บวกกับรุ้งกินน้ำที่พาดผ่านภูเขาสองลูกทางด้านตรงข้ามกับวิวทะเลก็เป็นอะไรที่น่ามองเกินกว่าจะลุกออกไปไหน….
แต่เพราะตอนนี้กระเพาะปัสสาวะของผมต้องการห้องน้ำจนเกินจะรับไหวเช่นกัน ผมจึงต้องจำใจลุกจากที่นั่งและมองหาห้องน้ำให้เร็วที่สุด
คงเป็นผลมาจากน้ำทั้งเหยือกที่กระดกเข้าไปแน่เลย...
ผมเดินไปถามเจ้าของร้าน และทันทีที่ได้คำตอบที่ต้องการผมก็รีบเดินตรงไปหาเป้าหมายโดยไม่สนใจอะไรเลยทันที แม้ว่าร้านนี้จะมีสไตล์การตกแต่งที่สวยมากๆก็ตาม แต่ตอนนี้ผู้ก่อการร้ายกำลังจะแหกด่านแล้ว เอาเป็นว่าหลังจัดการตัวเองเสร็จผมจะกลับมาดูก็แล้วกันนะ
หลังจากธุรกิจส่วนตัวถูกปิดกิจการเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากห้องน้ำเพื่อจะกลับไปหาพี่ฮยอนซอง ระหว่างทางก็เดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ด้านหลังของร้านมีสวนเล็กๆจัดไว้เหมาะกับการนั่งพักผ่อน แต่ด้วยความที่พื้นสนามในตอนนี้เปียกแฉะไปเพราะฝนที่เพิ่งจะเทลงมา ผมก็เลยไม่คิดจะเข้าไปดูมัน แต่แล้วสิ่งหนึ่งก็สะดุดตาผม มันเป็นต้นไม้ที่ไม่สูงมากต้นหนึ่งซึ่งทุกกิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยภาพถ่ายที่เรียงร้อยต่อกันมากมาย
สวยจัง...
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆเลยทำให้รู้ว่าภาพเหล่านี้ล้วนเป็นภาพของลูกค้าของร้านทั้งนั้น(ก็ถ่ายที่ร้านนี่นะ) คนที่ถ่ายรูปพวกนี้ไว้ก็น่าจะเป็นทางร้านนั่นแหละ มีทั้งรูปเดี่ยว รูปคู่ รูปหมู่ และเมื่อพลิกดูด้านหลังของรูปก็จะพบกับข้อความสั้นๆและวันที่ถ่ายภาพ น่าจะเป็นลายมือของลูกค้าเองเพราะมีหลายลายมือหลายภาษาแตกต่างกันไป ผมเดาอีกเช่นเคย
ผมไล่มองภาพถ่ายพวกนี้ไปเรื่อยๆและได้แต่อมยิ้มกับมัน ทุกคนในภาพดูมีความสุขกันมากเลย
แต่แล้ว...ผมก็ต้องสะกดสายตาไว้ที่ภาพๆหนึ่ง
รูปนี้เป็นภาพคู่ ของผู้หญิงคนหนึ่ง...กับพี่ฮยอนซอง ถ้าผมจำไม่ผิด ผู้หญิงในภาพเป็นคนๆเดียวกับภาพหน้าจอของพี่ฮยอนซอง ผู้หญิงคนที่พี่ฮยอนซองไม่ยอมบอกผมว่าเธอเป็นใคร
ทั้งสองยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข ทุกเมนูบนโต๊ะล้วนเป็นสิ่งที่พี่ฮยอนซองแนะนำผมทั้งสิ้น ดอกเบญจมาศสีขาวช่อสวยถูกกอดไว้ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้น
ผมยื่นมือออกไปและพลิกด้านหลังของรูป

ชิม ฮยอนซอง & คิม จีซอล
xx..09.12 สุขสันต์วันเกิดนะ จีซอล~<3

นี่มันอะไรกัน...
ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ นี่หมายความว่าพี่เขามีแฟนแล้วอย่างนั้นเหรอ.... มือทั้งสองของผมค่อยๆเลื่อนขึ้นไปก่อนจะจับที่เชือกสีขาวเพื่อปลดภาพนี้ลงมา ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำอย่างนี้ทำไม แต่ตอนนี้ผมก็ได้สอดรูปใบนี้ไว้ในกระเป๋าตัวเองเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างทางกลับโรงแรมผมรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวมันถูกโรยไว้ด้วยความอึดอัด ไม่แน่ใจว่าพี่ฮยอนซองรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า
เหตุผลก็คงจะเป็นความสงสัยที่บีบอัดใจของผมเอาไว้นั่นล่ะ
ผมเบือนหน้าออกจากพี่ฮยอนซองและทำเป็นสนใจกับทิวทัศน์นอกรถแทน
เฮ้อ...เป็นอย่างนี้มันก็ลำบากเหมือนกันนะ จะถามอะไรเขาตอนนี้ก็ไม่ได้ ผมยังไม่อยากให้รถคว่ำนี่ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็คงต้องรอให้รถจอดนั่นแหละ
แต่เมื่อเอาเข้าจริง...พอรถจอด คำพูดทั้งหมดของผมก็หายไปราวกับถูกกลืนลงคอไปแล้ว
ไม่หรอก
อาจจะเป็นเพราะผมเองก็ได้ ผมที่รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ...
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะลงจากรถนั่นเอง ผมก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่มันแปลกไป... ดอกไม้อีกช่อหนึ่งหายไปไหน ทั้งๆที่ผมกับพี่ฮยอนซองอยู่ด้วยกันตลอดเวลานี่นา หรือมันจะปลิวไปกับลม?
“พี่ฮยอนซอง ดอกเบญจมาศอีกช่อหนึ่งหายไปไหนแล้วเหรอครับ”
ทันทีที่ผมถามออกไปแบบนั้น พี่เขาก็ชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถในทันที ความวูบไหวในดวงตามันชัดเจนจนผมสังเกตได้ ผมไม่คิดว่าจะคิดไปเองหรอกนะ

‘ให้ไปแล้วล่ะ’

พี่ฮยอนซองตอบผมเพียงแค่นั้น ก่อนจะรีบเปิดประตูออกไป
.
.
นั่นสินะ...คงจะไม่มีสิทธิจริงๆนั่นแหละ

ร่างบางภายใต้ผ้าห่มผืนหนาพลิกตัวไปมาหลังจากที่ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากหลับ แต่ความสงสัย ความว้าวุ่นใจ ทุกอย่างมันสุมอยู่ในอกเต็มไปหมดแล้ว
ในที่สุด ผมก็ทำได้แค่เด้งตัวขึ้นมาและออกไปยืนที่หน้าระเบียงเพื่อรับลม บางทีการได้อยู่กับความเงียบก็ทำให้เราฟุ้งซ่านมากเกินไป ผมควรจะเปิดเพลงฟังด้วยไหม?
คงไม่ได้หรอก คนขี้เซาอย่างมินวูคงได้ลุกขึ้นมาตบกะโหลกผมเป็นแน่เลยถ้าทำเขาตื่น
ผมตอบตัวเอง
เฮ้อ...
ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำไมต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้ด้วยนะ พี่เขาก็มีสิทธิที่จะไม่พูดเรื่องส่วนตัวนี่

ให้ไปแล้วล่ะ

หมายความว่ายังไงกันแน่ ให้ไปแล้ว? ให้ดอกไม้ไปแล้ว? โถ่เว้ย!คิดยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ผมนั่งลงกับพื้นระเบียงเย็นเฉียบ นิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่ามันจะเย็นขนาดนี้ แต่ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังคงนั่งต่อไป สักพักก็ค่อยๆเอาหัวตัวเองไปพิงกับราวระเบียงโดยหันหน้าไปทางชายหาด
ผมเบ้ปาก
หนาวจัง
บางทีผมควรจะไปนอนต่อ นอนนิ่งๆเดี๋ยวมันก็หลับเองนั่นแหละ แต่ความคิดนี้ก็ต้องถูกพับเก็บไปทันทีเมื่อผมเห็นใครบางคนกำลังเดินออกจากโรงแรม ใครบางคนที่ดูคุ้นมากๆ
พี่ฮยอนซองนี่!
ผมหันไปมองนาฬิกา
เที่ยงคืน? ออกไปไหนตอนเที่ยงคืน... ผมมองตามรถสปอร์ตสีดำของพี่ฮยอนซองที่ค่อยๆทะยานออกไปในความมืด ทางเดียวกับที่ไปด้วยกันเมื่อตอนกลางวัน
อะไรกันเนี่ย
ทำไมถึงมีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจมากมายขนาดนี้นะ
เดี๋ยวสิ...คำถามที่ควรจะได้คำตอบมากกว่าคำถามพวกนั้น คือ...ทำไมผมถึงให้ความสนใจกับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพี่เขาต่างหากล่ะ ผมคงบ้าไปแล้ว หรือแกติดนิสัยสอดรู้สอดเห็นมาจากมินวูแล้วเนี่ย อี จองมิน!
ไม่นะ... />.<\
ผมทึ้งหัวตัวเองไปมาหวังจะดึงคำถามทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่ฮยอนซองออกไป
ไม่เอานะ ผมเป็นคนดี ผมไม่ได้คิดอะไร ไม่อาววววววววว~~~
.
.
ในที่สุด ผมก็เผลอหลับไปพร้อมกับความฟุ้งซ่านของตัวเอง ใช่ ผมไม่เห็นตอนที่พี่ฮยอนซองกลับมา และใช่อีกเหมือนกัน ไข้กลับฉบับอัพเกรดหนักกว่าเดิม ไม่น่าออกไม่ตากลมที่ระเบียงเลยจริงๆ
แค่กๆ ฮัดชิ้ว....
โอยเจ็บจมูกจัง
ผมยกมือขึ้นมาขยี้จมูกตัวเองเป็นรอบที่ล้านของเช้านี้จนมันเจ็บไปหมดแล้ว
ฮะ...ฮัดชิ้ว!
ให้ตายเถอะเป็นหวัดนี่มันทรมานจริงๆ อยากจะหลับๆไปซะจะได้เลิกจาม แต่เพราะจามนี่แหละมันถึงหลับไม่ได้ เมื่อเช้ามินวูสวดเทศก์ผมเป็นนานสองนานเพราะผมที่โง่ไปนั่งตากลมตากน้ำค้างจนไข้กลับ แถมยังมาเป็นภาระให้เขาต้องดูแล แทนที่เขาจะได้ออกไปเที่ยวเล่นกับพี่ดงฮยอนอย่างที่แพลนกันไว้
แล้วใครกันที่ลากคนโง่คนนี้มาทะเลน่ะ
ไม่ได้อยากมาสักหน่อย -*-
ฮะ...
“โอ๊ะ...พี่ฮยอนซองมาเยี่ยมครับ”
ฮะ...หืม?
ว่าไงนะ พี่ฮยอนซองมาเยี่ยมเหรอ
ผมผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อยแม้จะรู้สึกหนักจนไม่อยากจะขยับมันเลยก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าพี่ฮยอนซองเขาจะรู้สึกเป็นห่วงผมจริงๆจนถึงกับต้องมาเยี่ยมแทนที่จะไปเที่ยวให้สนุกหรือเปล่า
โอ๊ะ...มาจริงด้วยแฮะ
.
.
ดีจัง
ผมยิ้มบางๆให้กับพี่ฮยอนซอง แต่ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจผสมหมั่นไส้ใส่มินวูที่พูดอะไรแทงใจออกมา แม้มันจะเป็นแค่เสียงกระซิบที่ได้ยินกันเพียงสองคนก็ตาม
“นี่...ผมรู้นะว่าพี่คิดยังไงกับพี่ฮยอนซองน่ะ เอาเถอะ ตอนนี้ผมคงเป็นก้างขวางคองั้นคุยกันดีๆนะ ชอบเขามากเลยสิท่า~ เมื่อวานก็เอาแต่ส่งสายตาวิ้งๆให้กันนี่นา ดูสิ พอเขารู้ว่าพี่ป่วยก็รีบมาหาทันทีเลย คงจะมีหวังบ้างล่ะนะ”
ผมอยากถีบใครสักคน...
แม้ว่าใจจริงแล้วอยากจะด่าใจแทบขาด แต่เพราะตอนนี้ผมเป็นคนป่วยที่เกิดอาการเจ็บคอจนไร้เสียงพูดจึงทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆเหมือนเต่าใกล้ตาย
ผมจึงส่งสายตาแทนความหมายที่แปลได้ว่า
‘แกไม่ได้อยากจะหลีกทางให้ฉันหรอก แต่แกคงอยากจะไปเดทกับแฟนสุดที่รักของแกมากกว่า’
เหอะ! ไอ่เด็กบ้า... >///พูดอะไรไร้สาระ...
แต่...ผมจะมีหวังอย่างที่เขาพูดหรือเปล่านะ
ตอนนี้มินวูแล่นแต๊ออกจากห้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมมองตามหลังเขาไปจนประตูปิดลงจึงได้หันกลับมามองผู้มาเยือนพลางส่งยิ้มให้เล็กน้อย แม้ว่าในใจจะยังคลางแคลงเรื่องที่เขาหายไปเมื่อคืนอยู่บ้างแต่ก็ไม่คิดว่าควรจะถามออกไป
อย่างน้อยก็ในเวลานี้
เช่นเคย ในมือของเขามาพร้อมกับดอกไม้แต่ต่างจากเดิมตรงที่ว่าคราวนี้มันเป็นดอกทานตะวัน
??
พี่ฮยอนซองยื่นมันมาตรงหน้าผม
“ขอบคุณครับ”
ผมทำปากแต่ไม่ได้ออกเสียงและยิ้มให้เป็นการลงท้าย
พี่เขาเพิ่มความสงสัยให้ผมอีกแล้ว ทำไมไม่ใช่ดอกเบญจมาศเหมือนอย่างเคยล่ะ แต่ความสงสัยก็ต้องหยุดลงเมื่อผมเห็นว่าพี่ฮยอนซองเอาอีกสิ่งหนึ่งติดมือมาด้วย
สมุดรายงานกับปากกาเมจิก?
พี่ฮยอนซองนั่งลงที่ข้างๆเตียง ที่เดียวกับที่มินวูนั่งเมื่อกี้ก่อนจะลงมือจรดปลายปากกาลงบนสมุดรายงานเล่มนั้น สักพักเขาก็ยกมันขึ้นมาตรงหน้าผม

ไม่สบายอีกแล้วเหรอ เพราะละอองฝนเมื่อวานหรือเปล่า

ผมส่ายหน้าและตอบคำถามของเขาในใจว่า

เพราะออกมานั่งเฝ้าใครบางคนที่หายไปตอนเที่ยงคืนต่างหากล่ะ

พี่ฮยอนซองก้มหน้าลงไปที่สมุดอีกครั้ง

งั้นเหรอ แล้วเป็นอะไรมากมั๊ย?

ผมส่ายหน้าอีก ก่อนที่ร่างกายของผมมันจะแสดงอาการประท้วงคำตอบของผมโดยการ
ฮะ...ฮัดชิ้ว!
ผมยกมือขึ้นขยี้จมูกตัวเองไปมา ระหว่างนั้นผมก็แอบเห็นว่าพี่ฮยอนซองเขาลอบยิ้มกับท่าทางอย่างนั้นของผม ผมจึงหันไปจ้องตาเขาเป็นเชิงถามว่า ทำไม?

จมูกนายแดงหมดแล้ว

เขียนพร้อมวาดรูปประกอบ เป็นเด็กผู้ชาย(?)ที่มีผมสามเส้น ตาเป็นขีดและจมูกอันโต
ผมหน้าตาอย่างนั้นเหรอ - -*
พี่ฮยอนซองยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผมต่อภาพวาดอันสุดแสนจะ...พิสดาร
คราวนี้พี่เขาก้มหน้าลงไปอีกและกลับมาพร้อมกับรูปเด็กผู้ชายผมสามเส้นคนเดิมที่คิ้วม้วนเป็นแยมโรล ตาเป็นจุดเล็กๆเช่นเดียวกับปาก
ผมถึงกับเหวอและแน่นอน...มันกลายเป็นภาพวาดของเขาอีกครั้ง
เด็กผู้ชายผมสามเส้น(มันกลายเป็นคอนเซบท์ไปแล้วสินะ)ที่คิ้วสูงผิดมนุษย์ ตาเป็นจุดและปากที่กว้างน้อยกว่าใบหน้าเพียงนิดเดียว
ผมเลิกทำหน้าแปลกๆและเปลี่ยนมาหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพราะสังขารไม่เที่ยงเสียงที่ออกมาจึงเป็นเพียง...
แค่ก แค่ก แค่ก
โอยเจ็บคอ...
แค่ก แค่ก
บางทีพี่ฮยอนซองอาจไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมผม แต่เขาคงคิดจะมาทรมานผมมากกว่า

เห็นสีหน้านายไม่ค่อยดีเลยอยากให้ยิ้มบ้าง...

พักผ่อนได้แล้ว หายไวๆนะ คืนนี้เราจะได้เจอกันที่งาน...?

ผมยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าแทนคำตอบว่า แน่นอนครับ แล้วเจอกันที่งาน
พี่ฮยอนซองเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน
บางทีแม้ว่าเราจะไม่สามารถพูดโต้ตอบสื่อสารกันได้ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเรา...จะเข้าใจกันไม่ได้นี่เนอะ
ผมค่อยๆหลับตาลงก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่ห้วงของความฝัน

อาจเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนล้าบวกกับพิษไข้ที่เป็นอยู่ ทำให้ผมใช้เวลาแทบทั้งวันหมดไปกับการพักผ่อน เอาเถอะ...ยังไงตอนนี้ผมก็ตื่นแล้วนี่ เป็นโชคดีของผมจริงๆ อาการปวดหัวดูเหมือนว่าจะค่อยยังชั่วไปมากแล้ว ไม่จามแล้วด้วย จะเหลือก็แต่
แค่ก แค่ก
อาการเจ็บคออีกนิดหน่อย - -*
ผมเลื่อนสายตาไปที่นาฬิกาเรือนสวยตรงผนังห้อง
6.15 PM
อยากจะบ้า อีกสี่สิบห้านาทีข้างหน้างานก็จะเริ่มแล้วนี่!
ผมสะบัดผ้าห่มออกจากตัวเพื่อจะไปอาบน้ำและเตรียมตัวสำหรับงานในคืนนี้ ซึ่งมันก็ออกจะใช้เวลามากกว่าปกติอยู่สักหน่อยเพราะผมต้องพยายามทำตัวให้ดูดีมากที่สุด ก็นะ
ชุดสำหรับงานนี้ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลว่าตัวเองจะเลือกได้แย่หรืออะไร เพราะผมไม่ใช่คนที่เลือกมันน่ะสิ
ตรงหน้าผมเป็นชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ ตรงหน้าอกมีเข็มกลัดดอกกุหลาบฟูๆ ซ้อนอยู่ด้านหน้าของโบที่รวมอยู่กับผ้าชีฟองและขนนกสีดำ เอาเป็นว่ารวมกันแล้วมันก็สวยดีน่ะนะ
ผมเลื่อนสายตาไปที่กระดาษโน้ตเล็กๆบนไม้แขวน

ผมเตรียมชุดไว้ให้พี่แล้ว รีบๆใส่แล้วตามลงมาล่ะ ครั้งนี้พวกเราหกคน(ผมหมายถึงเราสามคนกับกลุ่มของฝาแฝด)จะแต่งตัวในทีมเดียวกันคือเชิ้ตขาวนะครับ ลงมาสมทบเร็วๆนะ!
-มินวู-

เหอะๆ
เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องแต่งตัวเหมือนกับคนอื่นอีกตั้งห้าคนน่ะ ไม่เอาด้วยหรอก ถึงแม้ว่าชุดที่เขาเลือกมาให้มันจะดูดี(มาก)ก็เถอะ แต่ทำไมผมจะต้องทำตามคำพูดของคนที่เอาแต่ทิ้งผมไว้ข้างหลังแล้วแจ้นไปหาแฟนตัวเองอยู่เสมอด้วยล่ะ แถมพวกเขายังแอบไปตกลงกันเองโดยที่ไม่ปรึกษาผมสักคำอีกต่างหาก เหอะ!
ผมขอประกาศ
วันนี้ผมจะพยศ!!
แม้ว่าใจจริงแล้วผมเองก็อยากใส่ชุดนั่นมากก็ตาม แต่ตอนนี้ผมก็เดินผ่านชุดของมินวูไปอย่างไร้เยื่อใย ตรงไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเลือกชุดที่จะไม่ทำให้ผมดูแย่จนเกินไป
ชุดที่ผมเลือกเป็นเสื้อยืดธรรมดาสีขาว ทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวลายขวางขาวสลับดำ กางเกงขายาวสีขาว หมวกสีคาราเมล รองเท้าผ้าใบขาว แล้วก็ตบท้ายด้วยสร้อยเงินเส้นโปรดของผม
ผมว่ามันดูดีนะ แล้วผมก็เช็คดีแล้วด้วยว่าเสื้อคลุมผมมีกระดุมครบดี ถึงจะเสียดายนิดหน่อยที่ต้องดึงกระดุมมันออก แต่ก็...ไม่น่าจะต้องกังวลเรื่องนั้นมากไป เพราะสิ่งที่ควรจะกังวลมากกว่าคือ จะมีใครอยากแลกกระดุมกับผมไหมต่างหาก น่าเป็นห่วงกว่ากันตั้งเยอะ
และในระหว่างที่ผมกำลังพับเสื้อผ้าที่รื้อออกมากลับเข้ากระเป๋า ผมก็สังเกตเห็นรูปถ่ายใบหนึ่ง ใบที่ผมเป็นคนแอบเอามาเก็บเอาไว้ ผมควรจะคืนมันให้เขาสินะ เพราะถึงยังไงผมก็ต้องกลับบ้านในอีกวันสองวันนี้แล้ว อีกอย่างมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมที่จะไปสงสัยพี่เขา แต่จะให้คืนต่อหน้ามันก็ยังไงอยู่ เอางี้แล้วกัน แอบไปสอดไว้ใต้ประตูหน้าห้องของพี่ฮยอนซอง ใช่...นั่นดีที่สุดแล้ว ตอนที่เราจากกัน พี่ฮยอนซองจะได้มองผมโดยไม่ติดใจอะไร...ดีแล้ว
ใช่ไหม?
ผมเดินออกจากห้องพลางถือรูปนั้นไว้ในมือ ขาทั้งสองพาตัวเองไปที่ห้องของพี่ฮยอนซอง ผมถอนหายใจอยู่หลายครั้ง แม้จะกลัวว่าพี่เขาจะดันมาเจอเข้า แต่อีกใจก็คิดว่าคงไม่เป็นไร ตอนนี้มันเป็นเวลาเริ่มงาน น่าจะไม่มีใครอยู่ คงลงไปที่งานหมดแล้ว
ในที่สุดวินาทีลุ้นระทึกก็มาถึง...
ผมมาถึงห้องของเขาแล้ว มือทั้งสองรู้สึกเย็นวาบแต่เหงื่อกลับซึมออกมาไม่หยุด ...ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกหัวขโมยเลยล่ะ เสียวสันหลังชอบกล
แต่ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้คิดจะหันหลังกลับ ผมจึงค่อยๆนั่งลงช้าๆ เอื้อมมือออกไป จุดมุ่งหมายคือใต้ประตู
อีกนิดเดียว...
แกร๊ก...
เฮือก!
จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกทำให้ผมทำรูปถ่ายในมือหลุดลอยไป... ผมหลับตาลง ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น พอผ่านไปสักพักประตูก็ถูกปิด แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
เอ๊ะ...
ผมลืมตาขึ้นมองอย่างกล้าๆกลัวๆ
โถ่! ห้องข้างๆ -*-
เฮ้อ~ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ว่าแต่...รูปนั้นไปไหนแล้วเนี่ย
ผมกวาดสายตาไปรอบๆ จนในที่สุด....
ยองมินกับกวังมิน?
ตอนนี้ยองมินอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ครึ่งบนเป็นสีดำ ครึ่งล่างเป็นสีขาว ติดกระดุมทุกเม็ด... ทับด้วยกางเกงขายาวสีดำ กวังมินเองก็เหมือนกันแทบทุกอย่าง ผิดกันก็แค่เสื้อของกวังมินครึ่งซ้ายเป็นสีดำ ครึ่งขวาเป็นสีขาว... กลัวไม่รู้รึไงว่าแฝดน่ะ แล้ว...ตกลงว่าเอาจริงใช่ไหมไอ่คอนเซปต์เชิ้ตขาวเนี่ย แต่ยังไงก็ต้องยอมรับล่ะนะ พวกเขาดูดีมากในชุดนี้
แต่เฮ้ย!
รูปใบนั้นไปอยู่ในมือของสองแฝดนั่นแล้ว พวกเขาจะเอาไปบอกพี่ฮยอนซองไหมเนี่ย ตายๆ
ผมค่อยๆพาตัวเองไปหาพวกเขาอย่างช้าๆ เพื่อจะขอรูปคืน
“พี่จองมิน ไปเอามาจากไหนน่ะครับ”
ยองมินเริ่มเปิดประเด็น...
T-T ถ้าบอกว่ามันลอยมาเองจะเชื่อไหมนะ
“เอ่อ...”
“หรือว่าพี่ฮยอนซองบอกพี่แล้วเรื่องของพี่จีซอล! พี่สองคนจะคบกันจริงจังแล้วใช่ไหมครับ”
กวังมินพูดบ้าง
ห๊ะ!
“ว้าว~ดีใจจังเลย อย่างนี้ก็แปลว่าพี่ฮยอนซองจะยอมพูดแล้วสิเนี่ย”
สองแฝดพูดกันอย่างสนุกสนาน แต่ผมเมื่อยิ่งฟัง ก็ยิ่งไม่เข้าใจ...โดยเฉพาะตอนที่กวังมินพูดว่า ยอมพูด หมายความว่ายังไง พี่เขาพูดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?
“ผมว่าแล้วเชียว~ผมคิดแล้วว่าเขาต้องชอบพี่ ไม่งั้นคงไม่เอาดอกไม้ที่มีความหมายสำหรับเขาให้พี่แบบนั้นหรอก เฮ้อ~ ไม่ได้ยินเสียงพี่ฮยอนซองมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
ยองมินพูด
“พวกนาย...ที่พูดมาน่ะ หมายความว่าไง ยอมพูด? ดอกไม้? ดอกเบญจมาศขาวน่ะเหรอ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงที่ชื่อจีซอล?”
ในที่สุดผมก็โพล่งคำถามที่ไม่เข้าใจทั้งหมดออกไป
“อ้าว~พี่ฮยอนซองยังไม่ได้บอกทั้งหมดหรอกเหรอครับ หรือพี่ไม่รู้เรื่อง?”
ยองมินถามกลับ
แต่ด้วยความที่ตอนนี้ผมอยากรู้ความข้องใจของผมทุกอย่าง ผมต้องโกหก
“เอ่อ...อืม เขายังไม่บอกทั้งหมด แต่...เราคบกันแล้วนะ เดี๋ยวก็คงรู้ พวกนายบอกฉันก่อนได้ไหม จะได้แบบว่า...ตกใจ พี่ฮยอนซองจะได้ตกใจที่ฉันรู้หมดแล้วน่ะ”
“จริงเหรอเนี่ย พี่คบกันแล้วเหรอ~งั้นก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังสินะ เอาสิ! พวกเราจะเล่าให้ฟัง”
“ผมจะบอกเอง ผมพูดเองๆ”
กวังมินร้องเมื่อเห็นว่ายองมินตั้งท่าจะพูด แต่ก็ไม่ทันเพราะยองมินเริ่มเปิดบทมหากาพแล้ว...
“ก็คือ... พี่ฮยอนซองกับพี่จีซอลเขารักกันมากเลยครับ คบกันมา...สี่ปี น่าจะใช่นะ...ถ้าจำไม่ผิด เขาสองคนเจอกันที่นี่ด้วยล่ะ ที่งานของโรงแรม พวกเขาแลกกระดุมกัน นั่นทำให้พวกเราต้องมาที่นี่ทุกปี เพราะมันเป็นวันครบรอบการคบกันของพวกเขา เขาสองคนตอนที่คบกันนั่นน่ารักมากจริงๆ”
“ใช่ๆ ทุกๆปีพี่ฮยอนซองจะต้องเอาดอกเบญจมาศขาวมาทิ้งที่ทะเล ที่ไหนสักที่ พวกผมไม่รู้หรอกครับ รู้แค่ว่าเป็นผาที่ไหนสักที่แถวๆนี้แหละ...”
ผมนึกถึงผาที่เขาพาผมไปเมื่อบ่าย กับดอกเบญจมาศขาวที่หายไปช่อนั้น
“...ก่อนที่พี่เขาจะไม่ยอมพูด ผมเคยถามอยู่ครั้งหนึ่งว่าทำไมต้องเบญจมาศขาว พี่เขาก็บอกว่ามันเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ และบริสุทธิ์ใจ ที่มีต่อพี่จีซอลน่ะครับ”
“แต่แล้วหลังจากนั้น...พี่จีซอลก็จากไป แบบไม่มีวันหวนกลับ”
“หมายถึงตาย...สินะ”
“ครับ”
ยองมินยิ้มเศร้าๆ กวังมินจึงพูดต่อไปว่า
“พี่ฮยอนซองช๊อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก เขาเอาแต่โทษตัวเองว่าไม่น่าปล่อยให้พี่จีซอลออกไปซื้อของคนเดียว เธอโดนรถชนน่ะครับ แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้ยินเสียงของพี่ฮยอนซองอีกเลย แม้แต่รอยยิ้มก็เต็มไปด้วยความเศร้า พี่เขาคงกลัวว่าถ้าพูดออกมา ความทรงจำระหว่างเขากับพี่จีซอลจะหายไป แล้วเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย”
“จนได้มาเจอกับพี่จองมินนี่แหละครับ เราสองคนต้องขอบคุณพี่มากจริงๆที่ช่วยเรียกรอยยิ้มของพี่ฮยอนซองกลับมา ขอบคุณนะครับ”
ทั้งสองยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ แต่ความรู้สึกจุกแน่นนี่มันอะไรกัน
ผมทวนคำพูดของสองแฝดไปมา...
พี่ฮยอนซองไม่ใช่พูดไม่ได้ แค่ไม่พูดเพราะกลัวความทรงจำระหว่างเขากับคนรักจะหายไป หน้าจอโทรศัพท์ ผานั่น ร้านอาหารก็ด้วย ดอกเบญจมาศขาว...
ทุกๆอย่าง
นี่ผม...ทำไม
“แล้วทำไมถึงเป็นฉันล่ะ”
ผมพูดออกไปอย่างยากลำบาก เพราะต้องพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นจนเกินไป
“ก็คง...เพราะพี่เหมือนพี่จีซอลมากล่ะมั้งครับ”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงโดยที่ผมไม่รู้ตัว ก่อนจะตามมาด้วยหยดที่สอง สาม และอีกหลายหยดที่ก่อตัวขึ้นจากความอึดอัด ความน้อยใจ และอะไรหลายๆอย่าง
“พี่จองมินเป็นอะไรครับ...”
ยองมินพูดพลางเขย่าตัวผมเล็กน้อย และไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้ริมฝีปากของผมออกเสียงได้แค่คำว่า
“คืน...ต้องคืนให้หมด”
ผมควรจะคืนในสิ่งที่ไม่ใช่ของผมตั้งแต่แรก อะไรบ้างนะ ใช่ ก่อนอื่นก็ดอกเบญจมาศ
สองเท้าของผมพาตัวเองให้กลับมาที่ห้องอีกครั้ง แม้ว่าเสียงดนตรีจากงานจะลอยเข้ามาอยู่ตลอด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักนิด
ผมตรงไปหยิบดอกไม้ที่ได้มาจากพี่ฮยอนซอง
เบญจมาศขาว...ความซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ใจ...เพื่อจีซอลสินะ
รูป...ใช่ ผมไม่ควรเก็บมันไว้ ความทรงจำอันมีค่าของพี่ฮยอนซองกับจีซอล
แล้วอันนี้ล่ะ...ดอกทานตะวัน มันยังหมายถึงอะไรอีก จีซอลที่เป็นเหมือนดวงตะวันหรือเปล่านะ
อา...มีอะไรที่เป็นของผมบ้าง มีอะไรที่พี่ฮยอนซองทำให้ผมแล้วไม่มีผู้หญิงที่ชื่อจีซอลมาซ้อนทับอยู่ในความทรงจำบ้าง
ไม่มีสินะ
และสิ่งสุดท้ายที่ผมควรจะคืนให้กับเธอ...ความรู้สึกที่ผมมีให้พี่ฮยอนซอง คำว่ารัก มันไม่สมควรที่จะเป็นของผม แต่...ผมต้องทำยังไงล่ะ

เสียงเกลียวคลื่นดังกระทบโขดหิน กลิ่นอายของน้ำทะเลที่คละคลุ้ง ลมเย็นยะเยือกปะทะเข้ากับผิวกาย ความมืดที่โรยตัวอยู่โดยรอบ สิ่งที่เคยสวยงามในตอนกลางวัน ณ เวลานี้มันกลับดูหดหู่ โศกเศร้าไปในพริบตาเมื่อผมคิดได้ว่ามัน...ไม่ใช่ที่ของผมอีกเช่นกัน
ที่ตรงนี้คงมีไว้เพื่อรำลึกถึงจีซอล...
ใช่ เธอคนที่ครอบครองหัวใจของพี่ฮยอนซองไว้ทั้งหมด
แม้ว่าตาทั้งสองข้างของผมจะถูกบดบงไปกว่าครึ่งด้วยหยดน้ำตาที่มันเอ่อล้นมากเกินไป แต่สองเท้าก็ยังคงก้าวตรงไปข้างหน้า จนในที่สุด ผมก็มาหยุดอยู่ที่ริมผาจนได้
ผมพยายามจะยิ้ม...เป็นครั้งสุดท้าย
ตลอดการเดินทางมาที่นี่ ผมพยายามคิดหาวิธีที่ดีที่สุด วิธีที่ผมจะคืนความรักของผมให้กับเธอ แต่คิดยังไงมันก็มีแต่ความว่างเปล่า จนเมื่อผมได้ลงมายืนตรงที่นี้อีกครั้ง ผมก็รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป
เพราะผมเองที่ไม่สามารถตัดความรู้สึกที่มีต่อพี่ฮยอนซองได้ ผมรู้ว่าผมเลิกรักพี่ฮยอนซองไม่ได้
แต่ผมก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัวเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้เพียงลำพังเช่นกัน ดังนั้น ผมจะให้มัน...
สิ้นสุดลงไปพร้อมๆกับลมหายใจของผม
นั่นแหละ...ดีที่สุดแล้ว
ผมโยนช่อเบญจมาศขาวลงสู่ท้องทะเล ตามด้วยดอกทานตะวัน ผมมองภาพถ่ายในมือสักพักก่อนจะตัดสินใจปล่อยมันให้ปลิวไปตามสายลม
ผม...ขอคืนมันให้กับเธอ
และสิ่งสุดท้ายที่เธอจะได้มันคืนจากผม...
ผมหลับตาลงช้าๆ ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม และปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายอาบลงข้างแก้ม
“ลาก่อน...”
ฟึ่บ
จู่ๆมือของผมก็ถูกกระชากกลับไปจากใครบางคน ร่างของผมถูกโอบกอดไว้โดยเจ้าของมือนั้น
ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อมองว่าเจ้าของอ้อมกอดนี้เป็นใคร
พี่ฮยอนซอง...
ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ เวลานี้เขาควรจะอยู่ในงานไม่ใช่เหรอ ทำไมล่ะ
น้ำตาพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง ผมดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของพี่ฮยอนซอง
“ทำไมล่ะ ทั้งๆที่ไม่ได้รัก มาทำดีกับผมทำไม มารั้งผมไว้ทำไม”
พี่ฮยอนซองทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆออกมา
“หึ ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้นี่ นั่นสินะ คำพูดของพี่คงมีไว้สำหรับเธอเท่านั้นใช่มั้ย แล้วผมล่ะ สำหรับพี่ผมคืออะไร ผมไม่ใช่เงาของจีซอลนะ ผมคือผม สิ่งที่พี่ทำให้ผมตลอดมามันเพื่อใครกันแน่ ตอนที่พี่ทำอะไรพวกนั้น พี่เห็นใคร...ถ้าไม่รักก็อย่ารั้งผมไว้ ถ้าไม่พูดก็ปล่อยให้ผมตายไปซะ ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ ผมขอคืนให้เธอทั้งหมด”
ผมค่อยๆก้าวถอยหลังไปที่ริมหน้าผา ก่อนจะทิ้งตัวเองลงสู่ห้วงทะเลลึก
ความรักของผมขอคืนให้กับเธอ... ส่วนความรู้สึกดีๆของผมปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่ความทรงจำของท้องทะเลก็พอ...
กระแสน้ำเย็นยะเยือกเสียดแทงทุกสัมผัสของร่างกาย แทรกซึมทุกอณู บาดลึกตัดห้วงลมหายใจ แรงดันน้ำรอบๆบีบรัดจนผมรู้สึกอึดอัดไปหมด ออกซิเจนในร่างกายค่อยๆขาดหาย ทรมาน...
นี่ใช่ไหมความรู้สึกของคนใกล้ตาย
ลมหายใจขาดห้วงไปอย่างช้าๆ
ลาก่อน...
“จองมิน! จองมิน!!!”
นั่น... ชื่อผมหรือเปล่านะ

“จองมิน! จองมิน!! ตื่นสิ ตื่นขึ้นมา ลืมตาเถอะนะจองมิน จะด่าจะว่าจะตัดพ้อกันยังไงก็ได้ แต่ได้โปรดกลับมา ฉันยอมเสียนายไปอีกคนไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ ขอร้องนะ...อย่างน้อยก็ตื่นมาฟังคำขอโทษจากปากของฉัน อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้บอกรักนาย ได้โปรด...”
ฮยอนซองได้แต่เขย่าร่างไร้สติของจองมินไปมา พยายามทุกวิถีทางเพื่อยื้อชีวิตคนที่เขารัก คนที่ไม่ว่ายังไงก็เสียไปไม่ได้เด็ดขาด
“จองมิน...ตื่นสิ”
ริมฝีปากที่ซีดเผือดจากความเย็นของน้ำทะเลคอยแต่พร่ำเรียกคนที่รักไปมา
“จองมิน...”
แม้จะไม่มีเสียงตอบรับแต่เขาก็ยังคงเรียกต่อไป
แค่กๆ

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดหลังจากที่จมอยู่ในน้ำเค็มจัดและไม่ได้รับออกซิเจนอีกเลยนับแต่วินาท

3[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Wed Jun 05, 2013 2:50 pm

modsant


Members
Members

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดหลังจากที่จมอยู่ในน้ำเค็มจัดและไม่ได้รับออกซิเจนอีกเลยนับแต่วินาทีนั้น อะไรกันเนี่ย นี่ผม...ตายแล้วเหรอ
“จองมิน...”
ใคร...กำลังเรียกผม
ผมค่อยๆยกเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อจะดูว่าใครเป็นเจ้าของเสียงที่ไม่คุ้นเคยนี่
พี่ฮยอนซอง
เพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาของผม ณ เวลานี้
“พี่ฮยอนซอง... เรียกผมเหรอ”
“ใช่... ฉันเรียกนาย และรู้ไว้ด้วยนะ นายไม่ใช่เงาของใคร ในสายตาของฉัน ตอนนี้เวลานี้ มีแค่นายคนเดียวเท่านั้น”
“แล้ว...จีซอลล่ะครับ พี่รักจีซอลไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...ฉันรักจีซอล ฉันยอมรับว่าตอนแรกที่หวั่นไหวกับนายก็เพราะนายเหมือนกับจีซอลมาก มากจนฉันสับสน แต่เมื่อฉันได้ใกล้กับนาย ฉันก็รู้ว่านายไม่ใช่เธอ จองมิน...ฉันรักนายที่นายคือ อี จองมิน”
“แล้วเมื่อคืน...ที่ผมเห็นพี่ออกจากโรงแรมคนเดียวตอนเที่ยงคืนล่ะ พี่มาที่นี่ใช่ไหม”
“ว่าแล้ว... คิดไว้แล้วเชียวว่าที่นายป่วยต้องไม่ใช่เพราะฝนอย่างเดียวแน่ ใช่ เมื่อคืนฉันออกมาที่นี่ ที่ผาแห่งนี้ เพื่อบอกกับจีซอลว่าฉันได้เจอกับคนที่ฉันจะรัก และเคียงข้างกันตลอดไปแล้ว บอกเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องยึดติดอยู่กับอดีตจนดูแลนายไม่ได้เท่าที่ควร รักนายไม่ได้เท่าที่อยากทำ”
“แล้ว...”
“อะไรอีกล่ะ สงสัยอะไรอีก”
“ทำไม...พี่ถึงยอมพูดล่ะ ไม่กลัวว่าความทรงจำระหว่างพี่กับจีซอลจะหายไปเหรอ”
“ไม่หรอก ไม่กลัวแล้ว เพราะถึงแม้ว่าความทรงจำเหล่านั้นจะหายไป แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันได้หัวใจนายมาครอบครอง นั่นก็คุ้มค่าเกินพอที่จะทิ้งมัน”
“...”
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่กำลังรัวกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งเพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของคนตรงหน้า
“จองมิน... ขอหัวใจของนายให้ฉันได้ไหม”
แม้ว่าเสียงของเกลียวคลื่นจะดังมากก็ตาม แต่มีเพียงเสียงเดียวที่ก้องอยู่ในโสตประสาทของผม แม้ว่าสายลมจะหอบเอาความหนาวเย็นมาสัมผัสร่างกายมากเพียงใด แต่ความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้ในตอนนี้คือความอบอุ่นจะอ้อมแขนของคนตรงหน้า...
“ครับ...”
สัมผัสอ่อนโยนจากริมฝีปากของพี่ฮยอนซองแตะลงเบาๆที่ริมฝีปากของผม นี่เป็น...คำสัญญาระหว่างเรา

เราสองคนพากันกลับมาที่โรงแรมในสภาพที่น่าเวทนาทั้งคู่ ตอนที่ผมเห็นชุดของพี่ฮยอนซองเต็มๆตาผมก็งงจนไม่รู้จะงงยังไง
นี่พี่ฮยอนซองลงไปช่วยผมในสภาพเสื้อเชิ้ตที่แสนจะหรูกับกางเกงขายาวเนี่ยนะ ถ้าว่ายน้ำไม่เก่งจริงคงตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ช่วยแล้วล่ะเนี่ย
เพื่อไม่ให้เกิดการสงสัยที่จะนำไปสู่การสอบสวนจากมินวู และคนอื่นๆ เราสองคนจึงตัดสินใจขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกลับลงมาเจอกันที่หน้างาน ในที่สุดผมก็ต้องยัดตัวเองลงในชุดที่มินวูจัดให้สินะ...
สักพักพี่ฮยอนซองก็ตามลงมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนซึ่งมีกระเป๋าตรงหน้าอกเป็นสีดำ(ดีไซต์เรียบง่ายแต่ดูหรูจังแฮะ) ทับด้วยกางเกงขายาวสีดำ
นี่จะไม่ทิ้งคอนเซปต์กันจริงๆสินะ
พี่ฮยอนซองพาผมเดินเข้ามาในงานโดยที่ไม่ได้พูดอะไร สักพักผมก็เจอกับมินวูที่ยืนอยู่ด้วยกันกับสองแฝด
ตอนนี้มินวูอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเพ้นท์ลายคันเลอร์ฟุลตรงด้านล่าง กับกางเกงขายาวสีดำตามคอนเซปต์...
แต่แปลกจังทำไมผมไม่เห็นพี่ดงฮยอนล่ะ
เขาควรจะมาวนเวียนอยู่รอบๆมินวูนี่นา...
“พี่ดงฮยอนไปไหนซะล่ะ”
ผมเดินเข้าไปทักมินวูที่กำลังจดจ่อสายตาอยู่ที่หน้าเวทีกลาง
“ประกวดร้องเพลงน่ะ รางวัลเป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียนแบบสองต่อสองที่ร้านอาหารในโรงแรม”
“อ่อ...”
ผมมองขึ้นไปก็เห็นว่าพี่ดงฮยอนกำลังร้องเพลงอยู่จริงๆด้วย เขาดูดีในชุดเสื้อเชิ้ตที่เพ้นลายคันเลอร์ฟุลตรงด้านบนนั่นนะ
ผมยืนฟังเสียงเพลงหวานๆจากพี่ดงฮยอนจนเพลินเลยไม่ทันสังเกตว่าคนข้างกายที่พาผมเข้ามาในงานได้หายตัวไปตอนไหน เห็นอีกทีก็ตอนที่...
“และมาถึงผู้เข้าร่วมการแข่งขันท่านสุดท้ายนะครับ... ชิม ฮยอนซอง”
เสียงพิธีกรเอ่ยขึ้น ทำให้ผมที่กำลังพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฝาแฝดเข้าใจต้องหยุดลงในทันที
“พี่ฮยอนซอง”
ผมพึมพำออกมาเบาๆ
“พี่เขา...จะร้องเพลงเหรอ”
ยองมินพูด
“ฝันรึเปล่าเนี่ย”
กวังมินเสริม
“เฮ้ย...เอาจริงดิ”
มินวูบ่นงึมงำกับตัวเอง

เสียงเมโลดี้หวานๆดังขึ้นจากเครื่องเสียงที่ถูกติดตั้งอยู่โดยรอบบริเวณงาน ทุกสายตาสะกดอยู่ที่ร่างของคนๆหนึ่งตรงกลางของเวที แต่สายตาของผู้ซึ่งเป็นจุดสนใจนั้นกลับมีให้เพื่อคนๆเดียวตรงหน้าเขา รอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนใบหน้า สองมือกระชับไมค์ในมือแน่น แม้ว่าตัวเขาเองจะประหม่าอยู่มากก็ตาม แต่ถ้ามันจะทำให้คนที่เขารักได้มั่นใจกับความรักครั้งนี้ เขาก็ยินดี
เสียงนุ่มหวานละมุนดังขึ้นเข้ากันกับเพลง บวกกับความหมายของเพลงที่เขาต้องการจะสื่อไปถึงคนที่เขารัก ทำให้เพลงที่ไพเราะอยู่แล้วยิ่งดูน่าฟังมากขึ้นไปอีก
ในที่สุดผมก็เปล่งเสียงออกไปทั้งๆที่ในใจของผมนั้นยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่มากจนเกือบจะร้องผิด แต่ถึงจะกลัวแค่ไหนผมก็ยังอยากให้จองมินได้เข้าใจความรู้สึกของผมผ่านเพลงๆนี้ เพลงที่ผมต้องการจะสื่อให้ถึงหัวใจของเขา

너를 처음 본 손간부터였어
ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเธอ

나의 가슴은 할루도 편할 날이 없었어
ไม่มีวันไหนที่หัวใจของฉันจะสงบได้เลย

내 온몸에 신경들까지
ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวฉัน

내 숨결마저도 너만을 향해
แม้แต่ลมหายใจ มันก็เอาแต่จะไปหาเธอ

ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าหัวใจของผมมันไม่สามารถเป็นของใครได้อีก ผมไม่สามารถรักใครได้อีกนอกจากจีซอล แม้แต่เสียงของผม รอยยิ้มของผม และหัวใจของผมมันได้ตายไปพร้อมกับเธอแล้ว แต่เมื่อวันหนึ่งผมได้พบกับเขา... อี จองมิน หัวใจของผมก็กลับมาเต้นรัวอีกครั้ง หัวใจที่ผมคิดว่าตายไปแล้ว

니곁에 있을 오늘을 기대해
ฉันตั้งตารอวันนี้ที่จะได้อยู่กับเธอ

내 오른쪽에 늘 함께 있는 네게 감사해
ขอบคุณนะ ที่มาคอยอยู่ทางขวาของฉัน

마봅에 걸린 것 처럼
เหมือนตกอยู่ในเวทมนตร์

행복한 미소가 입가로 번져나와
ฉันยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

Been waiting for this
ฉันรอมาตลอดเลย

내 눈엔 너밖에 보이지 않아
ดวงตาของฉันมีไว้มองแต่เธอ

이런게 사랑인가봐 너무 행복해
นี่คือความรักสินะ ฉันมีความสุขมากเลย

널 항상 지켜줄게 너의 왼쪽에서
ฉันจะปกป้องดูแลเธอที่ด้านซ้ายเอง

และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สายตาของผมเอาแต่จับจ้องไปที่คนๆนี้ ผมเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ คอยเป็นห่วงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ตลอดเวลา
วันนี้ใส่น้ำหอมมากไปหรือเปล่านะ ชุดนี้มันดูแย่ไปหรือเปล่า รถมันเหม็นอับไหมเนี่ย
แต่ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับเขา พลันความสับสนวุ่นวาย ความไม่สบายใจต่างๆก็มลายหายไป เหลือไว้แค่ร่องรอยของความสุข ผมยิ้มได้เสมอเมื่อเราอยู่ด้วยกัน

사랑해 사랑해 사랑해
รักเธอ รักเธอ รักเธอนะ

ผมอยากจะพูดมันสักพันครั้ง... พูดจนเขามั่นใจ

영원히 내 곁에 있어줘
อยู่เคียงข้างฉันตลอดไปนะ

죽는 그 날까지 니곁에
ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

사랑해
รักนะ

เราสองคนสบตากันอย่างเงียบๆและให้สัญญาต่อกัน เราจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าอนาคตมันจะสวยงามอย่างที่วาดฝันไว้หรือเปล่า มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมรู้คือใจของผม

언제나 둘이 함께 오
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีกัน

언제나 둘이 함께 오
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะอยู่ด้วยกัน

언제나 둘이 함께 예쁜 살랑하자
มามีความรักที่งดงามด้วยกันสองคนตลอดไปนะ

ผม...จะไม่ยอมเสียจองมินไปเด็ดขาด ไม่ว่าวันข้างหน้าจะดีหรือเลวร้ายสักแค่ไหน เราจะข้ามผ่านมันไปด้วยกัน ผมคงพูดไม่ได้ว่าจะรักเขาจนชั่วนิรันดร์ เพราะชีวิตของผมคงไม่อาจอยู่จนถึงนิรันดร์ได้ แต่ผมพูดได้เพียงอย่างเดียวว่าผม...จะรักเขาในทุกๆลมหายใจ
แล้วนายล่ะ...จองมิน

ทันทีที่เพลงจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากบรรดาผู้ร่วมงานแทบทุกคน
ร่างสูงเจ้าของเสียงเพลงอันไพเราะลงมาจากเวที ตรงมาที่ร่างเล็กเจ้าของชุดเสื้อเชิ้ตกับดอกกุหลาบฟูฟ่อง ทันทีที่มาถึงดอกทานตะวันสีสดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าร่างเล็กทันที
“ดอกทานตะวัน...?”
จองมินยังคงทำหน้าเหลอหลาหลังจากที่เพิ่งได้ฟังเพลงที่เต็มไปด้วยความหมายจากคนๆนี้ จริงๆคือเขาไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ฮยอนซองที่ไม่เคยเปิดปากพูดมากว่าสองปีจะร้องเพลงได้...
“ไม่ชอบเหรอ”
ฮยอนซองต้องเอ่ยถามในที่สุดเมื่อเห็นว่าไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองจากคนตรงหน้า จะมีก็แต่หน้าเหลอหลาเท่านั้น สักพักก็กลายเป็นว่าคนเหลอหลากลายเป็นตัวเขาเสียเองเมื่อจู่ๆร่างเล็กก็เปลี่ยนท่าทีเป็นบึ้งตึงอย่างกระทันหัน
...ไม่ชอบดอกทานตะวันเหรอ?
“พี่...”
“หืม...?”
“ทำไมเวลาอย่างนี้ถึงได้เอาแต่คิดถึงจีซอลล่ะครับ”
เห?
“ผมอยู่ตรงหน้าพี่แท้ๆ ทำไมพี่ถึงยื่นดอกไม้สำหรับจีซอลให้ผมล่ะ เหอะ...นี่คงจะแปลว่า รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์ พี่หมายถึงจีซอลสินะ งี่เง่าที่สุดเลย คิดว่าผมไม่เคยอ่านอะไรน้ำเน่าแบบนี้ล่ะสิ พี่ไม่คิดว่าผมจะรู้ความหมายมันสินะ แล้วผมก็รู้อีกด้วยว่านี่มันดอกไม้ของจีซอล ไม่ใช่ผม...”
ประโยคสุดท้ายเบาบางจนคล้ายกับว่าเขากำลังพึมพำกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับคนตรงหน้า แม้ว่าจองมินเองก็อยากจะมั่นใจกับรักครั้งนี้ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดจนต้องตัดพ้ออะไรแบบนั้นออกไป พี่เขาเคยให้ดอกทานตะวันกับเขาครั้งหนึ่ง และนั่นก็เป็นตอนที่เขายังรักและไม่ลืมผู้หญิงที่ชื่อจีซอลนี่
เขาจะคิดเป็นอื่นไปได้ยังไง
“จองมิน...”
ดวงตาสดใสของร่างเล็กเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“พี่ยังจะพูดอะไรอีก ที่พูดตอนนั้นก็แค่ไม่อยากรู้สึกผิดที่จะปล่อยให้ผมตายใช่ไหมล่ะ”
โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาของการเริ่มจับคู่เพื่อแลกกระดุมเลยทำให้ไม่มีใครให้ความสนใจกับเขาสองคน การให้ดอกไม้ น้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม การกอด หรือกระทั่งสารภาพรัก กลายเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าปกติสำหรับเวลานี้
“ฟังนะ...ที่นายพูดมานั่นก็ถูก...”
เหมือนมีมีดสักล้านเล่มพุ่งมาเชือดเฉือนผมตอนที่พี่ฮยอนซองบอกว่าผมพูดถูก...
“แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดนะ...”
.
.
“ที่บอกว่าถูกน่ะ คือความหมายของดอกทานตะวันที่จะมองเพียงแค่พระอาทิตย์ไปจนตาย แล้วสิ่งที่ผิดก็คือดอกไม้นี่ ไม่ใช่สำหรับจีซอล มันสำหรับนาย...พระอาทิตย์เพียงดวงเดียวของฉัน”
T///T
สิ้นสุดคำพูดของพี่ฮยอนซอง ผมก็ยังคงยืนน้ำตาไหลพรากอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ใช่เพราะความน้อยใจอีกต่อไปแล้ว บางที...ผมอาจจะขาดความเชื่อใจในตัวพี่ฮยอนซองมากเกินไป
เหตุผลก็คงเป็นเพราะความเจ็บปวดจากการถูกหลอกใช้จากคนที่รักมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ในครั้งนี้มันต่างกัน...ทุกสิ่งที่พี่เขาทำให้ผม ไม่ใช่แค่การทำตามบทบาทของละคร แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันมาจากใจของเขาจริงๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังให้ตอบรับ...
ผมควรจะวางหัวใจไว้ที่คนๆนี้ใช่ไหม
เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะพี่เขาทำเพื่อผมมามาก
แต่เพราะหัวใจของผมที่อยากจะอยู่ใกล้กับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากคนๆนี้ต่างหาก
แม้ว่าในอนาคตผมจะไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมรับรู้ได้แค่ความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ที่จะรักและยืนอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ

언제나 둘이 함께 예쁜 살랑하자
มามีความรักที่งดงามด้วยกันสองคนตลอดไปนะ

ฟึ่บ
กระดุมสีใสถูกดึงออกจากเสื้อเชิ้ตของร่างเล็กด้วยมือของเจ้าตัวเอง
“ผมฝากหัวใจไว้ที่พี่แล้วนะ แล้วก็...”
มือบางเลื่อนออกไปตรงไปที่กระดุมเม็ดที่สามของคนตรงหน้าก่อนจะดึงออกมาจนคนตรงหน้าเซเข้าชนกับร่างของตัวเอง
ร่างเล็กใช้แขนทั้งสองโอบรอบเอวของร่างสูงอย่างช้าๆพร้อมกระซิบเบาๆที่ข้างหูของคนในอ้อมกอด
“หัวใจดวงนี้น่ะ ผมขอนะ”
.
.
“ให้ทั้งตัวและหัวใจเลย”
ร่างสูงตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหวาน ก่อนจะกระชับอ้อมแขนแกร่งเข้าโอบกอดร่างเล็กอย่างทะนุถนอม

The end!

Special

1 เดือนก่อนหน้านี้
@BF Coffee Shop

ร่างเล็กเจ้าของใบหน้าน่ารักนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งภายในร้านที่ค่อนข้างเงียบและมีความเป็นส่วนตัว ดวงตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งหลังจากที่ทำแบบนั้นมากว่าสิบครั้งแล้ว
“มินวู!!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความสงบของร้าน ร่างเล็กหันไปตามเสียงก่อนจะพ่นลมหายใจยาวเหยียดไปที่ร่างของคนที่เป็นต้นเหตุของการรอคอย
“แล้วกวังมินล่ะ”
มินวูถามกับยองมินที่กำลังเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของเขาเข้ามาเรื่อยๆ
“มาแล้วๆ”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของยองมิน ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงเด่นที่มีใบหน้าเหมือนกับคนข้างหน้าทุกประการ
“มาช้า...มัวทำอะไรอยู่เนี่ย นานๆจะได้กลับมาเจอกันทั้งที ทำไมต้องทำให้หงุดหงิดด้วย”
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งบ่นก่อนจะรู้สาเหตุสิ”
มินวูเชิ่ดริมฝีปากขึ้นคล้ายจะถามว่ามีเหตุผลอะไรที่สำคัญกว่าการมาพบเขาจนต้องมาสายแบบนี้
“ก็รุ่นพี่ของพวกเราคนหนึ่งดันไปมีเรื่องเข้าใจผิดกับแก๊งอันธพาลเข้าน่ะสิ พวกเราเลยต้องเข้าไปช่วยพูดแทนให้”
“ทำไมต้องพูดแทนคนอื่นด้วย รุ่นพี่แกเป็นใบ้หรือไง?”
“ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง”
“...?”
“ก็...พี่เขาไม่ได้เป็นใบ้ แต่แค่ไม่ยอมพูดอะไรเลย...นี่ก็เป็นปีได้แล้วมั้ง
ยิ่งฟังก็ยิ่งเพี้ยน
“คือพี่เขาน่ะ...#%$^#$@#&809-%^$#$”

“โห แค่อกหักเนี่ยนะ”
มินวูบ่นอุบอิบ
“แหม แล้วถ้าพี่ดงฮยอนของนายไปมีกิ๊กล่ะ”
“ฉันก็จะประเคนด้วยยูโดสักชุดสองชุดไง”
มินวูสวนทันควัน
“เห็นไหม? เรื่องความรักมันเรื่องใหญ่”
เออ...พวกนายพูดแบบนี้แล้วทำให้ฉันนึกถึงพี่รหัสตัวเองเลยอ่ะ”
“ทำไม?”
“อาภัพรักโคตรๆ มีดีเรื่องเดียวคือสมองที่ฉลาดเกินไป แต่นั่นก็เฉพาะกับเรื่องเรียนนะ เพราะมีคนมาจีบพี่เขาทุกๆช่วงสอบมาหลายรอบ แล้วก็ทิ้งทุกครั้งที่การสอบสิ้นสุดอยู่แยอะจนนับครั้งไม่ถ้วน พี่เขายังไม่รู้ตัวเลย”
“อือ...ชีวิตคนเราก็งี้แหละ”
ยองมินบ่น
“ถ้าเราทำให้พี่ของพวกเราสมหวังในรักได้ก็คงจะดีสินะ”
กวังมินพูดด้วยเสียงแผ่วเบาคล้ายจะบ่นกับตัวเอง หากแต่คำพูดนั้นกลับกระแทกเข้ากลางหัวของมินวู และซึมลึกสู่สมอง ก่อนจะประผลอย่างรวดเร็วจนได้จินตนาการอันล้ำเลิศออกมา
“ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่นา...”
.
.
.

The end(จริงๆ)

4[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Wed Jun 05, 2013 9:02 pm

ipowerr

ipowerr
VIP Members
VIP Members

จะบอกว่า เรื่องราวเข้มข้นน่ารักมาก ค่ะ

เรื่องยาวมากอ่านมันส์สุดๆ

5[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Thu Jun 06, 2013 10:40 pm

josungmi

josungmi
Writer

โห้ววววววววววววววววว -[]-!!

อ่านจบต้องปรบมือแปะๆให้ไรเตอร์เลย ><

เรื่องราวน่าลุ้นมาก มีขั้นมีตอน แบบสนุกสุดๆไปเลย ><

ลุ้นแทบแย่ เรื่องจีซอลกะฮยอนซองเนี่ยย
นึกว่าหมวยจะน้อยใจไม่รักซองซะแล้ววว ^^

6[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Fri Jun 07, 2013 2:39 pm

KitaBF.

KitaBF.
VIP Members
VIP Members

สนุกจัง ชอบเรื่องนี้อ่ะค่ะ

7[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Fri Jun 07, 2013 7:51 pm

kwonsisterrr


Members
Members

พล็อตน่าสนใจดีค่ะ ภาษาค่อนข้างสวย เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยยย ชอบค่าาา อิอิอิ Razz Razz Razz

8[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Sat Jun 08, 2013 8:03 pm

Numfon

Numfon
VIP Members
VIP Members

อั๊ยย๊ะ 3เน่ร้ายกาจมากกกกกกกกกกกกก อิ๊ๆๆ น่ารักอ่ะเรื่องนี้!!!!!!! ><

9[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Sun Jul 28, 2013 2:13 am

Km1314

Km1314
VIP Members
VIP Members

สนุกมากเลยค่ะ แต่งยาวดีด้วย อ่านได้เรื่อยๆเลย ><
ชอบเนื้อเรื่องมากอ่ะ สุดท้ายเป็นแผนการของสามคนนี้นี่เอง 55555555555

10[SF]Marine's Memory[HSxJM] Empty Re: [SF]Marine's Memory[HSxJM] Sat Jun 20, 2015 12:47 am

yokyookyik

yokyookyik
VIP Members
VIP Members

เรื่องยาวสนุกมากอ่ะคะแบบลุ้นมาก
ซองมีความลับที่แบบพอรู้แล้ว
ตึงโบ๊ะเลย ชอบมากเลยค่า
แต่งออกมาได้ดีมากๆเลย

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ