Marine’s Memory
Hyunseong - Jeongmin
Writer : Miina
สายลมของฤดูร้อนพัดหอบเอาความเย็นเข้าปะทะร่างเล็กที่สวมเพียงเสื้อกล้ามตัวบางกับกางเกงชายหาดเปียกชุ่ม รองเท้าคีบแตะ ส่งผลให้เจ้าของร่างต้องกระชับผ้าขนหนูให้แนบแน่นขึ้นอีกเพื่อลดความหนาว เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังอยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่า ที่นี่คือทะเล
ร่างเล็กก้มหน้างุดเพื่อบดบังความอายที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆภายในจิตใจ แม้ว่าการแต่งตัวแบบนี้ในบริเวณชายหาดถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยผิวที่ขาวผ่อง และใบหน้าที่จัดได้ว่าดีมาก ก็ทำให้เขาตกเป็นจุดเด่นและจุดสนใจได้ไม่ยาก
หลังจากใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการหลบสายตาของผู้คนรอบๆที่ดูจะจ้องเขามากเป็นพิเศษ ร่างเล็กจึงตัดสินใจเอาผ้าขนหนูที่ใช้ห่มร่างกายขึ้นมาคลุมหน้าแทน
เมื่ออาทิตย์ก่อน
ขณะที่ผมกำลังนั่งสลดหมดอารมณ์อยู่ในมุมมืดของห้องเรียนตัวเองเพราะเพิ่งจะเสียแฟนที่คบกันมากว่าสามเดือน สาเหตุง่ายๆคือ นายมันจืดชืด! เขาพูดแบบนั้นก่อนที่จะจากไปพร้อมหญิงสาวอีกคนที่เปรี้ยวจนเข็ดฟัน จู่ๆน้องรหัสของผม ‘โน มินวู’ ก็พุ่งพรวดเข้ามาและทันได้เห็นน้ำตาที่รินไหลลงสองข้างแก้ม ผมที่กำลังอ่อนแอจนไม่สมกับเป็นพี่ ก็ได้มินวูน้องชายจอมยุ่งปลอบใจในเวลานั้น
แถมด้วยซักผมจนต้องเผยถึงสาเหตุที่มานั่งร่ำไห้อย่างกับพึ่งเสียแม่ปลาบู่ไป....
ยังไม่หมด ด้วยความน่ารักของน้องรหัส เขาจึงมอบถ้อยคำเป็นกำลังใจให้ผมที่แสนจะกินใจจนลืมไม่ลง
‘ก็น่าอยู่หรอก ดูพี่แต่งตัวเข้าสิ แล้วนี่อีก แว่นอะไรจะหนาได้ขนาดนี้ ก็รู้นะว่าสายตาสั้นแต่อย่างน้อยก็น่าจะพยายามทำตัวให้ทันสมัยหน่อย รู้จักไหมคอนแทคเลนส์น่ะ นี่พี่ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าคนที่เข้ามาจีบพี่แทบทุกคนเขาก็หวังจะให้พี่ช่วยเก็งข้อสอบให้เท่านั้นแหละ สังเกตบ้างสิว่าจะมีคนมาห้อมล้อมพี่ทุกครั้งที่ใกล้สอบน่ะ พี่มันอ่อนต่อโลกเกินไป’
ซึ้งจนจุก....
‘เฮ้อ~ เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวผมจะช่วยพี่เอง ถือว่าตอบแทนที่พี่ช่วยติวข้อสอบให้ผมอยู่บ่อยๆแล้วกัน’
เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนพอดี หลังจากนั้นไม่กี่วันมินวูก็มาหาผมที่บ้าน สั่งผมให้จัดกระเป๋าก่อนจะลากผมออกมาท่ามกลางความงุนงงของพ่อและแม่
เขาบอกกับผมแค่ว่า
‘ทริปเสริมความมั่นใจไงครับ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมไม่พาพี่ไปตายหรอกน่า~’
‘ -[]-* ’
ในที่สุดผมก็(โดนบังคับให้)ขึ้นรถมาอย่างมึนๆ
เรามาด้วยกันสามคนแน่นอนว่ามี ผมและมินวู ส่วนอีกคนหนึ่งคือ ดงฮยอน...แฟนต่างโรงเรียนต่างวัยของมินวู เขาอายุมากกว่าผม ผิวขาวจัด สูง(กว่าผมและมินวูมาก) หุ่นนายแบบ และท่าทางดูดี นายไปสอยมาจากไหนเนี่ยมินวู.... - -* พี่ดงฮยอนรับหน้าที่ในการขับรถ แน่นอนอีกเช่นกันว่ารถคันนั้นเป็นของเขา
มันจะดีเกินไปแล้ว!!
ทันทีที่รถจอดเทียบกับโรงแรมใกล้ๆชายหาดแห่งหนึ่ง มินวูก็ทำเหมือนผมเป็นตุ๊กตาตัวน้อยที่เขาคิดจะลากไปไหนมาไหนก็ได้ตามสะดวก ...ซึ่งผมก็ทำตัวเป็นตุ๊กตาโง่ๆให้เขาลากตามสบาย
มินวูสั่งให้ผมเปลี่ยนมาใส่ชุดที่เขาซื้อมาให้....แล้วจะสั่งให้จัดกระเป๋าทำด๋อยอะไร -*-
มันเป็นชุดที่ผมเห็นแล้วต้องลอบกลืนน้ำลาย ส่วนประกอบมีเพียงสองชิ้น เสื้อกล้ามสีขาวบางๆ กับกางเกงขาสั้นสีดำแบบที่มีไว้เพื่อเดินเล่นตามชายหาด ยังดีที่ไม่เอากางเกงว่ายน้ำมาให้ ขอบคุณ
ผมจำใจใส่ชุดนั้นเพราะสายตาที่กดดันอยู่ตลอดเวลาของเขา น้องบ้าอะไรทำกับพี่ขนาดนี้ โลกไม่ยุติธรรม...T^T/
จากนั้นมินวูก็ทำในสิ่งที่ช็อคโลกกว่าเดิม โดยการโยนแว่นที่ผมใส่มาตลอดชีวิตทิ้งลงหน้าต่างไปอย่างไม่ใยดี....โหดร้ายยยย!!! ผมแทบทรุดลงกับพื้น ส่วนหนึ่งเพราะตกใจ อีกส่วนหนึ่งเสียดาย ส่วนสุดท้ายคือมองไม่เห็น ทำไงได้สายตาสั้นแต่กำเนิดนี่นา
มินวูจับผมใส่คอนแทคเลนส์ที่สร้างความรวดร้าวให้ดวงตาของผมเป็นอันมาก น้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าตอนถูกแฟนทิ้งอีก พี่ดงฮยอนก็เป็นใจเหลือเกิน เขาช่วยมินวูล็อคแขนผมด้วยล่ะ
หลังจากมหกรรมทรมานสิ้นสุดลง ทั้งสองก็พากันลากผมลงมาที่ทะเล จับกดน้ำจนเปียกไปทั้งตัว แน่นอนว่าเสื้อกล้ามสีขาวบางๆนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทันทีที่ลงน้ำมันก็เปียกจนแนบไปกับผิวเนื้อ ไอ่กางเกงเฮงซวยนี่ก็พอกันแหละ....นี่ตกลงว่ามาเสริมหรือบั่นทอนความมั่นใจของผมกันแน่เนี่ย!
‘พี่จองมินจะไปเปลี่ยนชุดก็ได้นะครับ แต่ต้องเดินไปเอง โรงแรมอยู่ที่เดิมนั่นแหละ แล้วนี่ก็กุญแจกับการ์ดครับ พี่ใช้เป็นใช่ไหม’
มินวูพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.....ฆ่าผมเถอะ
ผมยืนตัดสินใจอยู่นานว่าจะทนหนาวแล้วไปพร้อมกับมินวูหรือจะทนอายแล้วเดินไปเอง
คนอย่างผมแน่นอนว่าต้องเลือกทางแรกอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง สองคนนั้นก็ยังจีบกันไม่เสร็จสักที ผมเลยต้องจำใจเดินออกมา แต่เชื่อไหม...ผมคิดว่าพวกเขาตั้งใจล่ะ
ผมเดินออกมาคนเดียวกระเทียมลีบสุดๆ พยายามก้มหน้าก้มตาเดิน และกระชับผ้าขนหนูผืนน้อยในมือให้บดบังสัดส่วนในร่างกายให้มากที่สุด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาไม่หยุดอยู่ดี จะมองอะไรกันนักหนาเนี่ย คนที่แต่งตัวแบบนี้ก็มีตั้งมากมายทำไมไม่มอง จะเอาให้ทะลุเลยไหม ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมก็เขินเป็นน่ะ -///-
ในที่สุดผมก็ทนต่อสายตาแทะโลม(?)มากมายไม่ไหวจนต้องยกเอาผ้าขนหนูผืนเดียวที่มีมาคลุมหน้าแทน
อยากจ้องก็จ้องไป อย่างน้อยผมก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจ้องแล้วกัน
ผมจ้ำเท้าเดินต่อไปพลางคิดว่าทำไมตัวเองต้องมาทำตัวงี่เง่าอยู่ริมถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้ด้วย ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ ผมเป็นพี่นะ! เป็นพี่จริงๆนะ!!
ผมส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง และในขณะที่ผมเอาแต่สับสนอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น....
ปิ๊น~
เสียงลากยาวของแตรรถคันหนึ่งดังขึ้นในจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากพื้นพอดี รถยนต์สีดำคันหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว
ไม่ทันแล้ว
ผมคิดก่อนที่สติจะดับวูบไป....
ดวงตาเรียวค่อยๆปรือขึ้นหลังจากเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ
“เขาฟื้นแล้วๆ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอ? เฮ้อ! นึกว่าช๊อคตายไปแล้วซะอีก”
ปาก....
ทันทีที่ผมรู้สึกตัวตื่นก็ได้รับถ้อยคำอวยพรหวานหู เมื่อไล่สายตาไปรอบๆก็พบว่าห้องที่ผมอยู่ตอนนี้เป็นห้องในโรงแรมเดียวกันกับที่ผมพักอยู่ สังเกตจากโลโก้รูปโลมาสองตัวกำลังนัวเนียกัน...ผมไม่ได้พูดเกินความจริงสักหน่อย -*-
แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่ห้องผม!!
แล้วผมก็นึกย้อนไปว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง จำได้ว่า....ผมเกือบถูกรถเสยนี่! ผมตายแล้วงั้นเหรอ บนสวรรค์มีโรงแรมโลมานัวเนียด้วยเหรอเนี่ย ไม่หรอกมั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นนรกก็ได้
ผมมองไปรอบๆอีกครั้งและได้รับรู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
มีสายตาอีกสามคู่กำลังจ้องผมอยู่ พวกเขาต้องเป็นผีแน่ๆเลย
ขวามือเป็นผีเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่อายุไม่น่าจะห่างกับผมมาก ผมสีน้ำตาลแดง สูง ใส่ชุดสบายๆ ทางซ้ายของผมเป็นผีเด็กผู้ชายอีกคนที่...หน้าเหมือนกับคนทางขวาอย่างกับแกะมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ต่างกันก็ที่ผมเป็นสีม่วง และชุดที่ใส่ พวกเขาน่าจะเป็นผีแยกร่างมา
ถัดจากผีหัวม่วงเป็นผีผู้ชายอีกคนที่กำลังส่งยิ้มให้ผม เป็นผู้ชายร่างสูง ผิวขาว ผมสีดำสนิท และดูใจดี จากนั้นเขาก็ทำให้ผมตกใจด้วยการยื่นดอกไม้ช่อสวยมาให้ เป็นดอกไม้สีขาว มันคือดอกเบญจมาศ....ดอกไม้งานศพ บางทีเขาคงไม่ทันคิดก่อนให้ล่ะมั้ง...หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ไม่งั้นเขาก็แช่งให้ผมตายนั่นล่ะ เอ๊ะ! ผมตายแล้วนี่นา แต่....ดอกไม้พวกนี้สัมผัสได้จริง...
ผมหยิกแขนตัวเองและยังรู้สึกถึงความเจ็บที่เกิดขึ้น ผมยังไม่ตายหรือเนี่ย! งั้นก็แปลว่านายผมดำแช่งผมให้ตายงั้นสินะ ไม่หรอก....-*-
ผมมองช่อดอกเบญจมาศขาวในมือสลับกับมองหน้าของผู้คนที่ไม่คุ้นตารอบๆ และคิดว่าบางทีผมน่าจะถามถึงเหตุการณ์ก่อนสลบกับพวกเขาได้ หรือผมควรจะแนะนำตัวก่อนนะ
“เอ่อ...คือ ผมจองมินครับ...อี จองมิน มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
บางทีผมอาจจะเผลอทำหน้าโง่ๆใส่พวกเขา เลยทำให้นายคนผมน้ำตาลแดงหลุดยิ้มขำๆออกมา
“สวัสดีครับ ผมโจ ยองมิน”
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลแดงเอ่ย
“ผมโจ กวังมิน แฝดน้องของยองมิน”
คนผมม่วงพูดบ้างก่อนจะเดินอ้อมเตียงมาคล้องคอคนที่ชื่อยองมิน ที่จริงไม่ต้องบอกก็ได้ว่าแฝด หน้าเหมือนกันจนแยกไม่ออกขนาดนี้ ผมไม่โง่จนคิดว่าพวกเขาเป็นผีแยกร่างหรอก(?)
ผมหันไปมองอีกคนและคิดว่าเขาน่าจะแนะนำตัว แต่เขากลับทำแค่ยิ้ม
“อ่อ...นี่พี่ฮยอนซอง ชิม ฮยอนซอง เขาพูดไม่ได้น่ะครับ”
ยองมินเฉลย
อ้อ....ผมถึงบางอ้อในที่สุด โถ...หล่อขนาดนี้ไม่น่าเลย
ฮยอนซองส่งยิ้มบางๆมาให้ผม ซึ่งผมก็ทำได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไป
หลังจากแนะนำตัวและจัดสถานะได้ว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง(จะได้เรียกถูก) ยองมินก็เล่าให้ผมฟังว่าคนที่ช่วยชีวิตผมไว้คือ พี่ฮยอนซอง ตอนนั้นพวกเขากำลังลงไปหาอะไรกินแถวหน้าโรงแรมพอดี แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงแตรดังลั่น จากนั้นพี่ฮยอนซองก็พุ่งออกไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน เขากระชากตัวผมออกจากวิถีรถ
พระเอกซีรี่ส์เกาหลีชัดๆ
พี่ฮยอนซองมองมาที่ผมตลอดเวลาที่สองแฝดสลับกันเล่าเรื่อง...บางทีน่าจะเรียกว่าแย่งกันพูดมากกว่า อย่างเมามัน เขามีรอยยิ้มประดับบนหน้าเสมอ...หล่อจัง -.,-
ผมขอบคุณพวกเขายกใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับห้อง เพราะคิดว่าสองคนนั้นน่าจะจีบกันเสร็จแล้ว และกำลังเป็นห่วงผมอยู่ กวังมินบอกผมว่าพวกเขาจะอยู่ที่ทะเลอีกหลายวัน ถ้าโชคดีอาจเจอกันอีก
“เฮ้อ~”
วันนี้เหนื่อยสุดๆเลย
ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะหยิบการ์ดสีเงินออกมา และกุญแจ....กุญแจล่ะ!!?
ซวยแล้วไง ผมทำกุญแจห้องหาย... ผมตัดสินใจเคาะประตูเพราะคิดว่ามินวูน่าจะอยู่ในห้องแล้ว(ที่นี่มีกุญแจกับการ์ดให้สองชุด อีกชุดอยู่ที่พี่ดงฮยอน) แต่แล้วก็...เงียบ
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย นี่พวกเขายังไม่ขึ้นมาอีกเหรอเนี่ย!
ผมได้แต่รอ รอ และรอ อะไรกัน ไม่คิดจะกลับห้องกันเลยใช่ไหมสองคนนั่นน่ะ ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเดินไปไหนแล้วนะ แล้วนี่อีก แผลจากที่เกือบถูกรถเสย แม้ว่าจะมีพี่ฮยอนซองช่วยแต่ผมก็ยังได้แผลมาบ้างอยู่ดี บางทีมือของผมคงฟาดเข้ากับอะไรซักอย่างตอนล้มนั่นล่ะ
ผมทรุดตัวลงกับพื้นหน้าห้อง ก้มลงมองตัวเองแล้วหดหู่ชะมัด เสื้อกล้ามบางๆกับกางเกงที่ใกล้แห้งเลอะทราย มอมแมมยิ่งกว่าเป็ดตกโคลนซะอีก
อนาถ....
ผมนั่งกอดขาก่อนจะซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง ร้องไห้....ผมยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอมากจริงๆ แต่ในสภาพอย่างนี้ใครจะทนไหวล่ะ แฟนทิ้ง ชุดงี่เง่า เกือบตาย เจ็บแผล มอมแมม....ฮึก
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังขึ้นในความเงียบก่อนจะหยุดลงตรงหน้าผม แต่กลับไม่มีเสียงพูดอะไรเลยทั้งๆที่เจ้าของฝีเท้าน่าจะเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ คนปกติน่าจะถามนี่นาว่าเป็นอะไร หรืออะไรทำนองนั้น แสดงว่าคนตรงหน้าผมไม่ปกติ เลยไม่ถาม
ผมเงยหน้าขึ้นไปและได้คำตอบที่แท้จริงว่า ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่เขาพูดไม่ได้ต่างหากล่ะ ใช่แล้ว....
พี่ฮยอนซอง
แม้ว่าตอนนี้น้ำตาจะกลบทุกอย่างจนกลายเป็นภาพพร่าเลือน แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เขาส่งมา พี่ฮยอนซองยื่นมือมาตรงหน้าผม คล้ายจะบอกให้ลุกขึ้น
ผมยื่นมือไปจับและพยุงตัวลุกขึ้น แต่ด้วยความเจ็บปวดหรืออะไรก็แล้วแต่ มันทำให้ผมคิดว่าต้องการที่พึ่งพิงสักคน... ผมโผเข้ากอดเขา และร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไว้ใจผู้ชายตรงหน้ามากขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเขาช่วยชีวิตผม รอยยิ้มใจดี หรือความเป็นห่วงที่สัมผัสได้จากคนๆนี้
พี่ฮยอนซองกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นและตบหลังผมเบาๆเหมือนผมเป็นเด็กน้อย เขาคงกำลังสื่อให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังปลอบใจผมอยู่
สักพักเขาก็ค่อยๆดันผมออกจากอ้อมแขนและชูสิ่งหนึ่งขึ้นมา
โทรศัพท์?
แต่แล้วผมก็เข้าใจเมื่อจ้องดีๆ ก็เห็นว่าเขาพิมพ์ข้อความหนึ่งลงไป
‘เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า’
ผมยิ้มบางๆตอบเขาพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย
“เปล่าครับ แค่เหนื่อยมากๆน่ะ”
เขายิ้มกลับมา และก้มลงไปพิมพ์ข้อความอีกครั้ง
‘เข้าห้องไม่ได้ล่ะสิ’
เขายื่นมันมาตรงหน้าผม และยิ้มขำๆ
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าเขารู้ได้ยัง...แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้ มันห่างกับห้องพวกเขาตั้งหลายชั้นนี่นา คงไม่ได้ถามทางมาหรอก
ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ยื่นอีกสิ่งมาตรงหน้าผมซึ่งไม่ใช่โทรศัพท์ สงสัยหน้าผมจะฟ้องว่ากำลังคิดอะไร หรือเป็นเซ้นท์พิเศษของคนที่พูดไม่ได้ก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่า...สิ่งที่เขายื่นมาเป็นสิ่งที่ช่วยชี้แจงคำถามในใจของผมได้ทุกอย่าง
กุญแจ?
พี่ฮยอนซองวางมันลงบนมือของผมก่อนจะก้มหน้าลงไปพิมพ์ข้อความอีกครั้ง
ผมมองกุญแจในมือ และเมื่อสังเกตหมายเลขบนกุญแจผมก็รู้ทันทีว่านี่มันกุญแจห้องพักของผม! เขาได้มันมายังไงเนี่ย
พี่ฮยอนซองยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผมอีกครั้งพร้อมยิ้มกว้าง
‘นายทำตกไว้บนเตียงของฉัน’
ผมยิ้มตอบเขา ก่อนจะเอามือลูบต้นคอไปมาแก้เก้อ...หรือแก้ เซ่อ ก็ไม่แน่ใจนัก
จู่ๆพี่ฮยอนซองก็ยื่นมือออกมา
???
แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง เขาจับตัวผมให้หันเข้าหาเขาตรงๆก่อนจะค่อยๆปาดน้ำตาบนหน้าให้อย่างแผ่วเบา สัมผัสนุ่มบนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ และใบหน้าที่ร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ....
พี่ฮยอนซองยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะโบกมือไปมาคล้ายจะพูดว่า บ๊ายบาย
ซึ่งผมก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
หลังจากที่เขาผละไปแล้ว ผมถึงได้เริ่มรู้สึกตัว ในขณะเดียวกันก็ได้แต่ยกมือขึ้นทาบใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเองและเลื่อนลงมาที่ตำแหน่งของหัวใจ
ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน
ผมถามตัวเอง ก่อนจะหันหน้าเข้าห้อง และเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างเลื่อนลอยคล้ายคนโดนของ
เราจะไปดินเนอร์กันสองคน หาอะไรกินที่ด้านล่างโรงแรมแล้วกันนะครับ
-มินวู-
ผมมองกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนแปะไว้หน้าตู้เย็นอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้ผมรับรู้แค่ว่าเหนื่อยมาก....
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหนานุ่ม และเอาช่อดอกไม้ในมือวางลงที่โต๊ะข้างเตียงพลางคิดในใจว่าเดี๋ยวค่อยลุกไปอาบน้ำแล้วกัน ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจริงๆ
สายลมพัดโชยมาจากระเบียงด้านข้าง แสงแดดอบอุ่นแผ่มาจนถึงตัวผมที่คุดคู้อยู่บนเตียงกว้างสีขาว ผมลากผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมมิดหัวเพื่อหลีกเลี่ยงแสงนั่น ผมอยากนอนต่อ...
อา....ทำไมหัวมันหนักอึ้งขนาดนี้เนี่ย
ผมฝังหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ และยังไม่ทันที่จะได้เข้าสู่ห้วงความฝันอีกครั้ง ก็มีใครบางคนลากผ้าห่มของผมออกจากตัว โดยที่ผมไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย
ผมปรือตาขึ้นมองและพบว่าคนที่ลากผ้าห่มผมไปคือมินวู
ผมครางประท้วงเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวคว่ำลงบนเตียงแทนเพราะรู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น
....ปวดหัวจัง
“พี่จองมิน ตื่นไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจากที่แค่ไข้ขึ้นมันจะเปลี่ยนเป็นปอดบวมแทนนะครับ”
นี่ผมหูฝาดหรือเปล่าที่รู้สึกว่าเสียงนั้นมันมีความห่วงใยแฝงไว้ด้วยน่ะ
ช่างเถอะ...ผมทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะซุกตัวลงกับเตียงต่อไป
“เฮ้อ~ทำไมดื้อขนาดนี้เนี่ย”
แล้วจู่ๆเสียงออดของห้องเราก็ดังขึ้น ทำให้มินวูจำใจต้องผละออกจากผมที่ทำตัวเป็นเด็กดื้อเพื่อไปเปิดประตูที่ด้านหน้า
และนั่นก็เป็นโอกาสดีที่ผมได้ลุกไปลากผ้าห่มคืนมา ผมคลุมมันจนมิดหัวและตั้งท่าจะหลับอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องจำใจลดมันลงอีกครั้งเพราะคำพูดของมินวู
“พี่จองมิน มีคนมาหาครับ”
ผมมองออกไป แต่ในระยะหน้าประตูห้องนอนมันยังถือว่าไกลเกินไปสำหรับคนสายตาสั้นอย่างผม ด้วยความเคยชิน ผมยื่นมือไปข้างเตียงเพื่อควานหาแว่นแต่ก็ไม่เจอ
อา...มันถูกโยนทิ้งไปแล้วนี่
ผมทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปหาใครบางคนที่บอกว่ามาหาผม แต่จู่ๆก็รู้สึกว่าหน้ามืดจนต้องล้มลง โชคยังดีที่แขกของผมไวพอที่จะก้าวมาประคองผมไว้ก่อนหัวฟาดพื้น
ฮยอนซอง!!?
ผมมองเจ้าของอ้อมแขนแกร่งอย่างตกใจ
“เอ่อ....พี่ฮยอนซอง? มาได้ไงครับ”
เขายิ้มและพยุงผมให้นั่งพิงกับหัวเตียง และใช้วิธีเดียวกับเมื่อวานสื่อสารกับผม
‘เป็นห่วงเลยมาดู แล้วก็เจอคนป่วยดื้อๆไม่ยอมไปอาบน้ำ’
“เอ่อ....”
พี่ฮยอนซองส่งยิ้มล้อเลียนมาที่ผม...
“ครับ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ผมเปิดประตูออกจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวต่างๆเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ผมพยายามทำใจให้ชินกับคอนแทคเลนส์ เพราะถ้าไม่ใส่ผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด....โลกมืดสุดๆ
และคงจะเป็นโชคดีของผมที่เช้านี้มินวูไม่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการให้ผมแต่งชุดนู่นนั่นนี่ คงเพราะมีแขกมาด้วยล่ะมั้ง อย่างนี้ต้องให้พี่ฮยอนซองมาเป็นไม้กันมินวูบ่อยๆ...ผมไม่ได้พูดนะว่ามินวูเป็นน้องหมาอ่ะ -*-
ผมเลือกหยิบเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินลายจุดสีขาว คู่กับกางเกงยีนส์ขายาวอีกตัวที่เข้ากัน
จริงๆสไตล์การแต่งตัวของผมก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพียงแต่ผมชอบที่จะหยิบอะไรง่ายๆมากกว่า
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอาชุดที่เลือกมาสวม ผมก็เหลือบไปเห็น....พี่ฮยอนซองยืนพิงประตูโดยที่ยังหันหลังให้ผมอยู่
“เฮ้ย!”
ผมมองตัวเองแล้วก็แทบทรุด มีแค่ผ้าขนหนูพาดเอวไว้เท่านั้นเอง
ทันทีที่ผมเผลอเปล่งเสียงออกไป พี่เขาก็หันมาแล้วก็ผงะ....ย้ำว่าพี่แกถึงขั้นผงะเลยจริงๆ คิดว่าเขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจมายืนอยู่ตรงนี้ ก็คงมีไอ่บ้าไม่กี่ตัวหรอกที่มายืนเซ่อแต่งตัวหน้าห้องน้ำ!
แล้วทำไมผมต้องเป็นไอ่บ้าคนนั้นต่อหน้าพี่ฮยอนซองด้วยล่ะ T^T
ผมรู้สึกว่าไม่กี่ชั่วโมงที่เราพบกันตัวเองดูจะเป็นคนที่เสียสติเอามากๆเลย ทำตัวโง่ๆให้เขาได้เห็นตลอดเลย
ชีวิตนี้ช่างโหดร้าย....
ผมรีบย้ายตัวเองไปยืนหลังตะกร้าผ้าทั้งๆที่รู้ว่าแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย ส่วนพี่ฮยอนซองเองเมื่อสติกระแทกกลับเข้าตัวก็รีบหันหลังและเดินออกไปจากบริเวณนี้ทันที
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง คงเหลือไว้แต่ความอับอาย อาภัพ อับโชค...จนอยากจะอาพาธอีกรอบ....
หลังจากเหตุการณ์งี่เง่าเมื่อเช้า ผมก็พยายามที่จะไม่สบตาหรือพูดอะไรที่โยงไปหาเรื่องน่าอับอายนั่นกับพี่ ฮยอนซอง พี่เขาก็ไม่ได้พยายามพูดอะไร...ถ้าพูดได้เขาก็อาจจะพูดล่ะนะ
เราพากันเดินลงมาที่ชั้นล่างเพื่อหามื้อเช้ากินกัน ห้องอาหารของโรงแรมนี่ใหญ่พอสมควรเลย เป็นโต๊ะแบบบุฟเฟ่ต์ ผมเห็นว่ามินวูมานั่งอยู่กับพี่ดงฮยอนอยู่ก่อนแล้ว เลยเดินไปตักอาหารของตัวเองและมานั่งอยู่กับพวกเขา ผมเลือกที่นั่งติดกับมินวู
เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นว่าตอนนี้มีนักทั้งท่องเที่ยวและแขกเหรื่อในโรงแรมมานั่งทานอาหารกันมากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าโต๊ะเต็มไปหมดแล้ว แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดที่อีกสิ่งหนึ่ง คือพี่ฮยอนซองและสองแฝดที่ยืนถือจานอาหารในมือและทำท่าทางเหมือนว่ากำลังมองหาที่นั่งกันอยู่
โต๊ะของผมยังว่างอยู่อีกสามที่...
ผมหันไปหามินวูคิดว่าจะขออนุญาตเขาก่อน แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่ต้อง
โลกนี้มันมีกันอยู่สองคน....
ผมลุกขึ้นและเดินไปเรียกพวกเขาให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน ซึ่งสองแฝดก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับคำเสนอนี้ พี่ ฮยอนซองหันมายิ้มให้ผมคล้ายจะบอกว่า ขอบคุณ
เรานั่งกินอาหารกันไปสักพักจนในที่สุดมินวูก็รู้ตัวว่ายังมีมนุษย์ต่างดาวอย่างพวกผมนั่งร่วมโต๊ะอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วใส่มนุษย์ต่างดาวนอกระบบความทรงจำทั้งสอง(ไม่นับพี่ฮยอนซองเพราะเจอกันแล้วเมื่อเช้า)เป็นเชิงถามว่า พวกคุณเป็นใคร
ซึ่งยองมินก็รับหน้าที่โฆษกที่ดีกระจายข่าวสู่มนุษย์โลกทั้งสองว่าแต่ละคนเป็นใครและพวกเขารู้จักผมรู้จักกันได้ยังไง
แน่นอนว่าตอนที่พวกเขาบอกมินวูว่าผมเกือบถูกรถทับ มินวูเองก็ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละ
หลังจากขั้นตอนแนะนำตัวผ่านไป ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงกระชับมิตรเพราะคิดว่าน่าจะยังเวียนว่ายตายเกิดและโคจรมาพบเจอกันอีกหลายวัน
“พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าพรุ่งนี้จะมีงานเทศกาลชายทะเลน่ะ”
ยองมินพูดขึ้นมาลอยๆ
“จริงเหรอ ที่ไหนล่ะ”
และทันทีที่เรื่องน่าสนุกอย่างนั้นกระทบเข้าประสาทหู ก็เกิดปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ต่อเนื่องมายังมินวูที่ตอบรับแทบจะทันที
“รู้สึกว่างานจะจัดที่ริมชายหาดหน้าโรงแรมนี่ล่ะ ก็คงเหมือนทุกปี...”
กวังมินตอบทั้งที่ยังเคี้ยวเบคอนอยู่เต็มปาก แต่ประโยคหลังดูเหมือนว่าเขาจะพูดกับตัวเองมากกว่า
“ถึงว่า...ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษเลย”
ผมออกความเห็นเพื่อแสดงความมีตัวตน....
“นั่นสิ”
มินวูพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้ว...พวกนายจะไปร่วมงานกันรึเปล่าล่ะ”
พี่ดงฮยอนถามบ้างหลังจากเงียบไปนานเพราะมัววุ่นอยู่กับการเฉือนสเต็กที่หั่นเท่าไหร่ก็หั่นไม่ออกจนต้องเลิกล้มความพยายามไปเอง
ผมมองเสต็กในจานพี่ดงฮยอนก่อนจะตัดสินใจเงียบๆว่าจะไม่ตักมันมากินเด็ดขาด สเต็กอะไรจะเหนียวขนาดนั้น.....แบบนี้มันหนังสติ๊กแล้ว!
“แน่นอนครับ เทศกาลนี้มีแค่ปีละครั้งเอง ทำไมเราจะไม่ไปล่ะ ถ้าพูดให้ถูก...พวกเรามาที่นี่เพื่องานเทศกาลนี้โดยเฉพาะ....”
กวังมินพูดยังไม่ทันจบก็ถูกยองมินใช้ศอกถองเข้าที่สีข้าง
มีอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย คง...เป็นเพราะกวังมินชิงพูดทุกอย่างเลยล่ะมั้ง...
ไม่ไหวจริงๆเลยแฝดคู่นี้
ผมหันไปมองพี่ฮยอนซองก่อนจะทันสังเกตเห็นความวูบไหวในดวงตาของเขา และเหมือนพี่ฮยอนซองเองจะรู้ตัวว่าถูกมอง เขาเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะส่งยิ้มละมุนมาให้ผม
ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ารอยยิ้มนั่นมันดูเศร้าๆน่ะ....
และก่อนที่ผมจะคิดเองเออเองไปมากกว่านั้นยองมินก็เริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
“งานเริ่มประมาณหนึ่งทุ่มวันพรุ่งนี้นะครับ เอ....ผมบอกหรือยังว่ามันเป็นเทศกาลดนตรีน่ะ”
“จริงเหรอ...ใครๆก็เข้างานได้เหรอ”
พี่ดงฮยอนเป็นฝ่ายถาม
“ไม่หรอกครับ เฉพาะแขกของโรงแรมน่ะ”
กวังมินตอบ
“ว้าว~อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา”
มินวูเอ่ย
“แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องของดนตรีหรอกนะครับ ถ้าไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจก็คงไม่มีคนมาเพื่อร่วมงานมากมายขนาดนี้หรอกครับ ถ้าพูดให้ถูก เรื่องดนตรีก็เป็นเหมือนข้ออ้าง”
ยองมินพูดพร้อมกับที่ยัดขนมปังเข้าปาก
“ก็อย่างที่ยองมินบอก ทางโรงแรมได้สร้างเงื่อนไขก็คือผู้ร่วมงานทุกคนต้องแต่งชุดที่มีกระดุมน่ะครับ”
กวังมินเสริม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความเข้าใจกระจ่าง ยองมินจึงพูดต่อหลังจากเคี้ยวขนมปังหมดปาก
“เพื่อที่ว่าเราจะใช้กระดุมเม็ดที่สองหรือเม็ดที่สามน่ะ”
“กระดุมเม็ดที่สองหรือสาม?”
มินวูพึมพำเบาๆพลางขมวดคิ้ว
“จุดประสงค์หลักของงานก็คือการจับคู่ คู่รักจะได้รักกันมากขึ้นไปอีก ส่วนคนไร้คู่ก็จะได้มองหาคู่”
กวังมินพูดบ้าง
“โดยเราจะทำการแลกกระดุมกับคนที่เราคิดว่าใช่ หรือคนที่ถูกใจ ซึ่งก็คือผู้ร่วมงาน”
“แล้วทำไมต้องกระดุมเม็ดที่สองหรือสามล่ะ เม็ดแรกไม่ได้เหรอ”
ผมถามด้วยความสงสัย
“เพราะกระดุมเม็ดที่สองหรือบางทีก็เม็ดที่สามเป็นกระดุมเม็ดที่อยู่ตรงกับหัวใจเราพอดีน่ะสิครับ มันเปรียบเทียบเหมือนกับว่าเราแลกหัวใจกับอีกฝ่ายน่ะ แล้วอีกอย่างคงไม่มีคนคอสั้นขนาดที่กระดุมเม็ดแรกมันจะอยู่ที่อกหรอกนะครับ - -* ”
“บางทีเขาอาจจะใส่เสื้อกั๊กที่มีกระดุมไง ถึงคอจะไม่สั้นแต่เม็ดแรกของมันก็น่าจะอยู่ใกล้อกที่สุดนะ -*- ”
ผมพึมพำเบาๆ
“พี่ไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างที่คิดก็ได้นะครับ และอีกอย่างชายทะเลแบบนั้นคงมีไม่กี่คนหรอกครับที่โง่ใส่เสื้อกั๊กแทนที่จะใส่เสื้อที่รับลมเย็นๆสบายๆแบบนั้นน่ะ”
แล้วทำไมแกต้องเน้นที่คำว่าโง่ด้วยล่ะมินวู....
และเมื่อผมคิดจะหันให้ตอกหน้าเขากลับบ้าง มินวูก็ทำทีเป็นไม่สนใจแล้วหันไปนั่งคุยกับพี่ดงฮยอนชนิดปิดกั้นโลกภายนอกทันที
ให้ตายเถอะ ฉันล่ะเกลียดแกจริงๆ - -*
หลังกินอาหารเสร็จผมก็กลับขึ้นมานอนแผ่หลาบนห้องของตัวเอง อย่าถามถึงมินวู...ปล่อยพวกเขาให้อยู่ในโลกสองคนเถอะ ผมขอเป็นแค่ดาวหางที่นานๆจะโคจรมาใกล้ๆโลกสักครั้งพอ
‘มีข้อความใหม่ มีข้อความใหม่’
จู่ๆโทรศัพท์ของผมก็แผดเสียงขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ใครส่งข้อความมานะ
‘ว่างรึเปล่า ไปนั่งรถเล่นเป็นเพื่อนหน่อยสิ’
-ฮยอนซอง-
ผมบอกหรือยังว่าผมกับพี่ฮยอนซองแลกเบอร์กันแล้วน่ะ
‘แล้วตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนล่ะครับ’
ผมพิมพ์กลับไปแทนคำตอบว่า ตกลง ซึ่งไม่นานนักพี่ฮยอนซองก็พิมพ์กลับมา
‘ลานจอดรถหน้าโรงแรม’
ทันทีที่ได้รับข้อความผมก็จัดแจงย้ายตัวเองไปหน้ากระจกเพื่อส่องดูความเรียบร้อยของตัวเอง ผมควรจะเปลี่ยนชุดด้วยไหมนะ...
เฮ้! ทำไมผมต้องทำอย่างกับว่าจะไปออกเดทด้วยล่ะ แล้วนี่อะไร...แกหน้าแดงเหรอจองมิน!! บ้าไปแล้ว!
ผมส่ายหัวไล่ความคิดบ้าๆออกไป ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์....กระเป๋าสตางค์เหรอ แค่ไปนั่งรถเล่นคงไม่ต้องใช้หรอกมั้ง หรือถ้าจะต้องใช้...ฮยองก็จ่ายด้วยแล้วกัน ผมเปล่างกนะ แค่บังเอิญว่างบมันน้อย ก็มินวูเล่นลากผมออกมาทั้งๆอย่างนั้นนี่นา -^-
คิดได้ดังนั้นผมก็โยนมันกลับเข้ากระเป๋าเดินทางไป
อา...พร้อมแล้ว~
ผมวิ่งออกจากห้อง และตรงไปที่ลิฟต์ทันที ไม่ใช่ว่าอยากเจอพี่ฮยอนซองมากหรอกนะ แค่กลัวว่าเขาจะรอนานแล้วจะกลายเป็นว่าผมเสียมารยาทเท่านั้นแหละ
จริงๆ...
ผมใช้เวลามองหาพี่ฮยอนซองไม่นานก็เจอเขากำลังยืนพิงรถสปอร์ตสีดำเปิดประทุนคันหรูอยู่ ตอนที่บอกว่าจะพาไปนั่งรถเล่นไม่คิดว่ารถมันจะหรูขนาดนี้นะเนี่ย....
ผมค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ๆเขาทีละนิด เพื่อหวังจะแกล้ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าเขากำลังเหม่อ... เหม่อมองภาพๆหนึ่งบนหน้าจอโทรศัพท์
เป็นรูปที่พี่ฮยอนซองกำลังยิ้มกว้างยืนคู่กันกับผู้หญิงคนหนึ่ง ดวงตากลมโตดูร่าเริงแจ่มใส จมูกโด่งรั้นรับกันกับริมฝีปากบางสีชอมพูอมส้ม
สวยจัง...
“ใครเหรอครับ สวยมากเลย”
ผมถามออกไป และนั่นก็ทำให้พี่ฮยอนซองสะดุ้งจนสุดตัว เขารีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหันมายิ้มเจื่อนๆให้ผม พลางส่ายหัวเล็กน้อยประมาณว่า ไม่มีอะไรหรอก จากนั้นเขาก็ส่งสายตาสงสัยที่แปลได้ไม่ยากว่า มานานแล้วเหรอ?
“อ่อ...ไม่หรอกครับ ผมพึ่งเดินมาถึงไม่นานนี่เอง”
เขายิ้มและเดินไปเปิดประตูรถให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ทันทีที่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้วผมก็ทันสังเกตเห็นว่ามีดอกเบญจมาศขาววางอยู่ที่เบาะหลังสองช่อ
พี่ฮยอนซองเข้ามานั่งประจำที่คนขับ แล้วจู่ๆเขาก็เอื้อมมือออกไปยังเบาะหลังรถเพื่อหยิบเบญจมาศขาวช่อหนึ่งส่งมาให้ผม
....
ผมรู้สึกว่าตอนนี้หน้าของผมคงแดงมากแน่ๆเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับอะไรแบบนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มักจะมีแต่คนที่เข้าหาผมเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น ก็อย่างที่มินวูพูดนั่นแหละ ผมก็รู้นะ แต่ก็ยังแอบหวังทุกครั้งว่าสักวันจะมีสักคนที่มาเคียงข้างเราเพราะความรักจริงๆ
บางที...ผมอาจเจอเขาแล้วก็ได้นะ
พี่ฮยอนซองพาผมขับรถออกไปเรื่อยๆ ลมเย็นที่ปะทะใบหน้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย....
และเผลอหลับไปในที่สุด
รถสปอร์ตสีดำแล่นมาเรื่อยๆตามถนนเรียบ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาแทบจะไม่มีรถสวนผ่านมาเลย และในที่สุด รถคันหรูก็หยุดลงใกล้ๆกับชะง่อนผาแห่งหนึ่งที่ไร้แววผู้คน
ร่างสูงในชุดเสื้อโค้ดสีดำเดินมาพร้อมกับดอกเบญจมาศขาวช่อสวยในมือ ...ฮยอนซองเดินมาเรื่อยๆจนสุดชะง่อนผาก่อนจะโยนช่อดอกไม้ในมือลงไปสู่ทะเลเบื้องล่าง
แววตาแสนเจ็บปวดถูกส่งออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ค่อยๆไหลริน...
“ว้าว~พี่ฮยอนซอง! ทำไมไม่ปลุกผมล่ะครับ....ที่นี่สวยจังเลย~”
ฮยอนซองรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินเสียงของใครอีกคนจากด้านหลัง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วเมื่อเขาหันกลับไป....
ผมมองภาพเบื้องหน้าอย่างหลงใหลสุดๆ ที่นี่คงเป็นชะง่อนผาสักที่ไม่ไกลจากโรงแรมของเรานัก เพราะผมยังสามารถเห็นโรงแรมของเราได้จากตรงนี้ ลมเย็นพัดเอื่อยชวนให้สบายใจ
ผมขยับเท้าเข้าไปจนใกล้กับตรงที่พี่ฮยอนซองยืนอยู่
ผาตรงนี้ไม่ได้สูงอะไรมากนัก แต่เรื่องความสวยนี่สุดๆ ท้องทะเลสีครามถูกโอบล้อมไว้ด้วยท้องฟ้าที่...ออกจะ...ครึ้มๆ
หืม?....อย่าบอกนะว่า
แปะ แปะ
ฝนตก....
ผมพึ่งเดินออกจากรถมาไม่ถึงสามนาทีเลยนะ โถ่....เมื่อไหร่ผมจะมีโชคเข้าข้างเหมือนคนอื่นเขาบ้างนะ!! พี่ฮยอนซองหันมาหาผมที่กำลังทำหน้าหมดอาลัยตายอยากก่อนจะฉุดแขนผมให้ตามไปที่รถและดันผมเข้าไป
เขาจัดการปิดประทุนแต่ยังไม่ออกรถไปไหน
‘โกรธหรือเปล่าที่ไม่ได้เรียกน่ะ’
ผมอ่านข้อความที่เขายื่นมาตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ ผมจะโกรธเขาทำไมกันล